Tuesday, 7 July 2020

“เพราะโควิด” เลยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

“เพราะโควิด” เลยได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

ครูก็เป็นคนนึงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด
ตอนเดือนมีนาแพลนไว้ว่าจะไปช่วยน้องสาวเลี้ยงหลานที่ออสเตรเลียเป็นเวลาสามสัปดาห์ ลางานหาคนแทนไว้ล่วงหน้า แต่ดันเจอพิษโควิดกำลังเริ่มแพร่ระบาด เลยตัดสินใจที่ไม่ไปละกันเพราะเกรงจะมีปัญหาว่ากลับประเทศไม่ได้
.
รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไม่ไป ยอมจ่ายเงินค่าเปลี่ยนตั๋ว ซึ่งตอนนั้นเค้ายังไม่ได้ยกเลิกไฟล์ เราตัดสินใจไม่ไปก่อน
.
หลังจากตัดสินใจไม่ไปแต่โรงเรียนหาคนสอนแทนไว้แล้วเลยว่างงานไปเลย และเพราะโควิดโรงเรียนก็เลยต้องปิดยาว เลยเหมือนได้ลาพักร้อน555 (หัวเราะทั้งน้ำตา)
.
บริษัทที่ไปสอนก็หยุดเรียนไปก่อนเพื่อความปลอดภัย นั่นทำให้รายได้เราจะไม่มีเข้ามาเลยและไม่รู้กำหนดอีกด้วยว่าจะได้กลับไปสอนเมื่อไหร่
.
ก็พยายามคิดๆๆว่าจะทำไงดี ถ้าปล่อยแบบนี้เราจะทำยังไงกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายไปอีกนานแค่ไหน
.
ในใจก็คิดว่าเราจะทำอะไรให้มันเกิดรายได้ได้บ้างมั้ย
.
ซึ่ง ณ วันนี้ขอบคุณตัวเองที่พยายามทำเพจนี้มาถึง 6 ปี คิดจะเลิกทำไปหลายครั้งมาก แต่ทุกครั้งก็ผ่านมาได้และทำต่อเพราะคอมเมนต์ขอบคุณของลูกเพจ ไม่เคยคิดว่าจะเอามาสร้างรายแบบจริงๆจังได้เลย
.
จนโควิดมาเลยคิดว่าเราต้องลองเปิดคอร์สของตัวเองดูแล้วล่ะ
.
ด้วยความโชคดีอีกที่ได้ตัดสินใจลองสอนไลฟ์สดในเพจมาตั้งแต่ปีที่แล้วและพยายามทำสม่ำเสมอมาตลอด กว่าจะยอมเอาหน้าตัวเองออกมาสอนได้นี่คิดหนักมาก
.
ยกเครดิตให้น้องสาวที่บอกว่าต้องทำอะไรสักอย่างมั้ยคนติดตามเยอะแล้วนะ ซึ่งตอบน้องตรงๆว่าตอบไปเลยว่าเอาอะ ไม่อยากออกหน้า คิดว่าใครเค้าจะมาดูเราหนอ จนตอนนี้ออกจนชินแล้ว555 เรียกว่าด้านได้อายอดมันคือจริง
.
จะคนดูมากดูน้อยเอาเถอะทำไปก่อน แค่มีคนมาคอมเมนต์บอกว่าสิ่งที่เราทำช่วยเค้าได้แค่นี้ก็ดีใจมากๆแล้ว
.
ตอนแรกคิดว่ามีคนสมัครสัก 50 คนก็พอจะคุ้มในการทำอยู่ จนถึงตอนนี้เกินคาดไปมาก ต้องขอขอบคุณนร.ทุกคนในคอร์สที่ตัดสินใจมาเรียนกับครูนะคะ
.
โดยมากสมัครมาเรียนโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครูเป็นใคร แต่ตัดสินใจจากคลิปสอนของครู มาถามกันทีหลังสมัครก็หลายคนอยู่ว่าครูสอนที่ไหนคะ555
.
บางคนบอกให้ครูโฆษณาตัวเองบ้างสิ เราก็เออจะว่าไปก็ไม่ได้บอกที่มาของตัวเองเท่าไหร่
.
เอาเป็นว่าครูมีประสบการณ์สอนภาษาญี่ปุ่นประมาณ 12 ปี สอนทั้งโรงเรียนมัธยม ประถม บริษัทญี่ปุ่น แล้วก็สถาบันภาษาค่ะ ไม่ได้จบครูมาโดยตรง แต่เรียนภาษาญี่ปุ่นมาตลอดตั้งแต่มัธยมถึงมหาวิทยาลัย ทุกโรงเรียนที่ไปสอนต้องผ่านการสัมภาษณ์สอบสอนหมดค่ะ😅
.
เคยได้ทุนไปแลกเปลี่ยนประเทศออสเตรเลียตอนม.6 แล้วเรียนต่อป.ตรีกับป.โทที่ออสเตรเลียสาขา IT และเคยได้ไปแลกเปลี่ยนเรียนภาษาญี่ปุ่นที่จ.คานาซาวะเป็นโครงการของมหาวิทยาลัยตอนช่วงปิดเทอม แล้วก็ไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นมาปีครึ่งค่ะ
.
สำหรับคำถามว่าทำไมครูถึงมาเป็นครูไม่ไปเป็นล่ามคะ ตอบง่ายๆเลยไม่ชอบงานเครียดๆค่ะ555 สายวิชาการไม่ใช่ทางเลย และพอดีมีความฝันว่าอยากเป็นทีมชาติ ถ้าทำอาชีพครูก็ไม่ต้องทำประจำสามารถเอาเวลาไปซ้อมได้ (เป็นครูพิเศษค่ะ) เคยติดทีมชาติมา 4 สมัย ถ้าติดตามกันมานานต้องรู้กันอยู่แล้วล่ะว่าเล่นกีฬาอะไร😆🏹
.
เราไม่มีวันรู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงแต่เราสามารถเตรียมพร้อมไว้ก่อน เราจะได้ไปถึงจุดหมายได้ง่ายขึ้นค่ะ คมมะ😎
.
ภาษาก็เหมือนกันค่ะ เราไม่รู้ว่าวันนึงเราอาจจะต้องใช้มัน หรือวันนึงมันอาจทำประโยชน์ให้เราได้ ถ้าสนใจอยากเรียนให้เริ่มเลย ไปเร็วไปช้าเอาเท่าที่ไหวแต่ต้องสม่ำเสมอ เริ่มเรียนแล้วอย่าทิ้งกลางทาง ถ้าเราอดทนมากพอความสำเร็จจะมาหาเราค่ะ
.
ความสำเร็จของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอยากได้ N1 บางคนอยากแค่พอสื่อสารได้ บางคนแค่ฟังดาราพูดรู้เรื่องก็ดีใจแล้ว เราแค่อดทนพยายามทำต่อเนื่อง แล้วสักวันจะเห็นผลของความพยายามของเราค่ะ

Monday, 4 May 2020

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน งานพิเศษ (สอนภาษา)

(ไม่ได้อัฟเดทนานมากๆจนมีคนมาทวงถามเลยอัฟสักหน่อย อิๆ)
ต่อกันกับเรื่องงานพิเศษที่ได้มีโอกาสลองทำที่ญี่ปุ่น นอกจากเป็นเด็กเสริฟ์แล้วก็ยังได้ลองเป็นคุณครูด้วย^^ ว่าด้วยเรื่องการหางานก่อนเลย ตอนนั้นมีเพื่อนทำอยู่แล้วเค้าก็แนะนำให้ไปโพสข้อมูลของตัวเองลงในเว็ปหาครู http://www.getstudents.net เป็นเว็ปที่คนต่างชาติสามารถสมัครและลงข้อมูลของตัวเองว่าสามารถสอนภาษาอะไรได้บ้าง ซึ่งคนญี่ปุ่นเค้าจะมีอีกเว็ปนึง http://www.senseinavi.com ที่ลิงค์กับเว็ปที่เราลงข้อมูลรับสอน ไอ้เราได้ฟังจากเพื่อนก็สนใจเลยลองสมัครดู เค้าให้กรอกข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษใครสนใจลองกดเข้าไปดูรายละเอียดในเว็ปก่อนได้จ้า (แต่ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังใช้เว็ปนี้กันอยู่มั้ยนะ ) ตอนนั้นเราลงประกาศสอน 2 ภาษาคือ ไทย และ อังกฤษ ตอนแรกไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะทำได้มั้ยโดยเฉพาะสอนภาษาไทย เพราะเวลาสอนต้องพูดโดยใช้ภาษาญี่ปุ่นอธิบาย...มันยากนะฮะ อธิบายการออกเสียง กาก่าก้าก๊าก๋า...TT ตอนที่ลองสมัครอยู่ญี่ปุ่นได้ประมาณหกเดือนแล้ว ก็พอจะมั่นใจ(นิดนึง) แต่ความอยากลองมันพุ่งก็เลยเอาวะ ไม่ลองไม่รู้ จริงๆของแบบนี้มันอยู่ที่ความมั่นใจ ภาษาไม่ต้องเป๊ะมากก็ได้ เพราะถึงเป๊ะมากแต่เข้ากับนักเรียนไม่ได้เค้าก็ไม่ลงเรียนกับเราอยู่ดี ง่ายๆคือต้องคุยเก่งๆ555

พอลงสมัครไปได้สักประมาณ 3 อาทิตย์ก็มีคนติดต่อมา อึ๋ย!ทำไงดี(ว่ะ)เนี่ย บอกตรงๆเริ่มหวั่นๆกลัวพูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ด้วยว่าจะเป็นนักเรียนแบบไหน สำหรับการติดต่อกันครั้งแรกจะส่งอีเมลล์นัดคุยกันว่าจะเจอที่ไหน ส่วนใหญ่จะเป็นร้านกาแฟหรือไม่ก็แมคโดนัล และจะเป็นการลองสอนให้เค้าฟรี 1 ชม.แรก เพื่อดูว่าเค้าโอเคกับเรามั้ย แล้วคือถ้าตรูไม่โอเคทำไงดีล่ะเนี่ย ถ้าเจอแบบโรคจิตทำไงอะ อูยยย...คิดไปต่างๆนาๆ เอาล่ะกลับมาเผชิญหน้ากับความจริงที่ลงสมัครและอุตส่าห์มีคนติดต่อมาแล้ว ไหนเข้าไปดูข้อมูลนักเรียนหน่อย อืม...เป็นผู้หญิง เฮ้...โล่งไปหนึ่ง อยากเรียนภาษาไทย อืม...จริงๆอยากสอนภาษาอังกฤษมากกว่า แต่เอาเถอะ (อีนี่เรื่องมากเนอะ55) ตกลงวันเวลาได้แล้วก็นัดเจอกันที่คาเฟ่ในสถานีรถไฟ วันแรกที่เจอ เธอเป็นผู้หญิงที่น่ารักมากกกก เป็นออฟฟิตเลดี้ ชื่อ นาโอโกะ เหตุผลที่อยากเรียนภาษาไทยคือชอบ เสก โลโซ และบัวขาว ค่ะ...อึ้งไปแป๊ปนึงเพราะไม่คิดว่าเค้าจะบ้ามากขนาดไปดูคอนเสริต์ที่ไทย และเช่ารถตู้ไปสนามมวยคนเดียว! เรายังไม่กล้าทำเลยจ้า วันแรกก็ลองสอนประโยคง่ายๆก่อน ทำชีทไปเอง แล้วก็ลองชวนคุยไปเรื่อยๆ เพราะเอาจริงๆเรายังไม่รู้ว่านักเรียนจะมีพื้นฐานมากน้อยแค่ไหน อยากเรียนแบบเขียนด้วยมั้ย หรือจะเรียนพูดอย่างเดียว ซึ่งนาโอโกะเธออยากเรียนเขียนด้วยเพราะเธออยากอ่านเนื้อเพลงของพี่เสกได้ หูย..ของยากเลย แต่เราก็ตะล่อมบอกเค้าไปว่าเรียนพูดให้พอได้ก่อนดีกว่าเพราะกว่าจะเขียนได้ต้องใช้เวลานานมากนะ เธอก็โอเค จบท้ายวันแรกด้วยการแปลความหมายเพลงของพี่เสก อยากจะรู้ว่าท่อนนี้แปลว่าอะไร นี่มันโอตาคุไทยชัดๆ แต่ก็ตกลงเป็นอันได้งานละ เจอกันอาทิตย์ละครั้ง เธอเป็นคนตั้งใจเรียนมากแล้วก็มีคำถามเยอะว่าถ้าจะพูดแบบนี้ถูกมั้ย คำนี้ใช้ตอนไหนได้บ้าง และไม่พลาดคือต้องแปลเพลงพี่เสกเกือบทุกคลาสเรียน 555 คนนี้สอนจนถึงเรียนจบเลย โชคดีมากๆเจอนักเรียนดีๆ แน่!กะลังคิดว่าเราโชคดีจังเลยใช่มั้ย จริงๆมีแปลกๆด้วยนะ เอาทีละเคสละกัน

ผ่านไปอีกสักอาทิตย์เห็นจะได้ก็มีอีเมลล์ติดต่อเข้ามาอีกคราวนี้เป็นผู้ชายสูงวัยใกล้เกษียณ ชื่อคุณลุงยามาโมโตะ คือลุงแกอยากไปใช้ชีวิตเกษียณอยู่ไทยแบบอยู่ไทยครึ่งปีญี่ปุ่นครึ่งปี เหมือนจะมีคนญี่ปุ่นคิดแบบนี้เยอะ แล้วแกเคยเรียนภาษาไทยมาบ้างแล้วแต่ยังพูดไม่รู้เรื่อง ไอ้เราก็เห็นว่าเคยเรียนก็เลยทดสอบเล็กๆน้อยๆ ปรากฎว่าแกเอาแต่พูดคำที่เราพูดซ้ำๆแล้วบ่นกับตัวเอง สมมุติว่า เราถามว่าคุณอายุเท่าไหร่ ลุงแกก็เอาแต่พูด อะยุ อะยุ เอ..เราเคยเรียนมานี่นา แปลว่าอะไรนะ อะยุ อะยุ เป็นภาษาญี่ปุ่น สักพักเราก็เลยถามเป็นญี่ปุ่นเลย ลุงแกก็อ๋ออออ แล้วก็ตอบเป็นภาษาไทยมาว่า สิบห้า หาาาาาา...หน้าแบบนี้คงไม่ใช่แล้วค่ะ คือจริงๆลุงตั้งใจจะบอกว่าห้าสิบห้า ท่าทางคงต้องเรียนกันใหม่เลยมั้ยคะเนี่ย ตกห้าไปตัวนึงแหมเด็กกว่าหนูอีกนะคะเนี่ย555 สอนคนนี้ต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมากเพราะแกเอาแต่พึมพัมกับตัวเองตลอด ไม่ค่อยยอมพูดตามด้วย แต่แกตั้งใจเรียนอยู่ แถมเรียนไปสักพักชวนเพื่อนมาเรียนคู่ด้วย เป็นคุณลุงเหมือนกัน ชอบข่มกันเองอีกต่างหาก สอนคนมีอายุต้องใจเย็นนิดนึง แต่ข้อดีของการสอนคนที่มีอายุคือแกมีเงิน ไม่เขียม เค้าจะเช่าห้องเรียนสำหรับเรียนเลย มีกระดานมีโต๊ะนั่งดีมากๆ ตามสถานีต่างๆมักจะมีสถานที่ไว้ให้เช่าสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ เช่นเรียนจัดดอกไม้ ประชุม จัดเลี้ยง เสวนา เป็นต้น ซึ่งเราไม่ต้องออกตรงนี้ แหม่...ได้อารมณ์แบบเป็นครูจริงๆเลยล่ะ^^

แล้วอีกสักพักก็มีคุณลุงอีกคนติดต่อมา คนนี้สายเที่ยวประเทศไทย จะเที่ยวไทยปีละ 2-3 ครั้ง เที่ยวทีนึงจะเขียนแพลนเที่ยวประหนึ่งทำรายงาน มาเป็นเล่มพร้อมรูป เอามาโชว์อีกต่างหาก คนนี้ดีมากชื่อ คุณยาสึอิ ตั้งใจเรียนและเช่าห้องเรียนเหมือนคุณลุงก่อนหน้า อัธยาศัยดีสุดๆ แถมเลี้ยงข้าวหลังเรียนเสร็จทุกมื้อ ขนาดเรากลับมาไทยแล้วก็ยังคงติดต่อกันเสมอ บางทีก็พาเค้าไปเที่ยวด้วย ถือว่าเป็นบุญที่ได้เจอนร.คนดีๆ

ต่อมาสักพักก็มีคนติดต่อเข้ามาเรื่อยๆเลย ได้ลองไปสอนฟรีชม.แรกอีกประมาณ 4-5 รายเลย มีผู้หญิงคนนึงเจอครั้งแรกเค้าเก่งอยู่แล้ว (สอนภาษาอังกฤษ) คุยกันไปเรื่อยๆถามอะไรก็ตอบได้หมด ก็แอบคิดในใจว่าแบบนี้คงไม่น่าเรียนต่อแน่ๆ พอหมดเวลาก็ say goodbye กับแบบรู้ๆกัน

แล้วก็มาถึงเคสแปลกๆ 555 ที่แปลกนี่คือคนอายุน้อย อยากเรียนภาษาอังกฤษ สอนไปสักพักรู้สึกตะหงิดๆแบบคงไม่ได้จีบใช่มั้ย หรืออาจจะไม่ใช่เราอาจจะคิดไปเอง แต่แบบชอบส่งข้อความมาถามโน่นนี่ มีทำซีดีใส่เพลงมาให้ด้วย?!? เวลาพูดไม่ค่อยสบตาเท่าไหร่ ผ่านไปสักเดือนเริ่มไม่ไหวละ ยังดีที่คนนี้เรียนในร้านแมค ยังมีคนเยอะแยะ เลยคิดหาวิธีเฟดออกแบบจะบอกยังไงดีว่าไม่สอนแล้ว เลยโกหกไปว่าพอดีจะต้องกลับประเทศแล้วมาสอนไม่ได้แล้วนะคะ (หนูขอโทษTT) หลังจากนั้นก็ say goodbye กันไป เฮ้อ...

ลืมบอกไปเรื่องค่าสอนเราคิดชม.ละ 1,500 เยน ค่ารถไฟนักเรียนบางคนจะถามและเพิ่มให้ คือแบบไม่กล้าคิดแพงเพราะตัวเองก็ไม่ได้เชี่ยว คิดซะว่าได้เพื่อนใหม่ฝึกภาษา เห็นบางคนเค้าคิดชม.ละ 2,000 เยนขึ้นไป แต่สมัยนี้ไม่แน่ใจ ที่พูดถึงคือเมื่อปี 2005 นะ^^



Wednesday, 7 December 2016

ทำยังไงถึงจะพูดได้เก่งๆ?

ทำยังไงถึงจะพูดได้เก่งๆ?
เรียนจบเล่มนี้แล้วจะพอพูดได้มั้ย?
ต้องเรียนนานแต่ไหนถึงจะพูดได้?
เป็นคำถามที่มักจะถูกถามจากนร.บ่อยๆเวลาเริ่มเรียน
มันยากที่จะบอกว่าต้องเรียนสักกี่ปีถึงจะพูดได้
บางคนเรียนเป็นปีพูดยังไม่ได้เลยก็มี
แต่บางคนไม่เคยเรียนเลยแต่ก็พูดสื่อสารได้
แล้วเค้าทำยังไงกันละ?
ก็แค่ต้องฝึกพูดเยอะๆ!
พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องพูด
สังเกตจากคนที่พูดเก่งๆมักจะมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่น
หรืออยู่ในสังคมที่ได้ยินภาษาญี่ปุ่น จนมันซึมซับเข้าไปเอง
บางคนเรียนรู้จากการดูละครบ้าง
ดูการ์ตูนบ้าง แล้วก็จำเอามาหัดพูด
แต่การดูอย่างเดียวจะพัฒนาได้แต่การฟัง
ยังไงซะอยากพูดได้ก็ต้องมีคนคุยด้วย
การหาเพื่อนญี่ปุ่นสักคนเอาไว้ฝึกพูดคือสิ่งที่ดีที่สุด
แต่ต้องบอกเพื่อนนะว่าถ้าชั้นพูดผิดเธอแก้ให้หน่อย
บางทีคนญี่ปุ่นบางคนเค้าอาจจะพอเข้าใจที่เราพูด
แล้วก็คุยต่อเลย เราก็จะไม่รู้ว่าที่เราพูดไปมันผิดตรงไหน
ถ้าเพื่อนเราไม่ให้ความร่วมมือที่ดี
ก็ลองหาเพื่อนใหม่ๆ(พูดเหมือนหาง่ายเนอะ555)
หรือไม่ก็ต้องคอยถามว่าที่พูดเนี่ยถูกมั้ย
ถ้าจะพูดแบบนี้ต้องพูดยังไง
แล้วมีวิธีหาเพื่อนคนญี่ปุ่นมั้ย
...อืม จากประสบการณ์ของตัวเอง
การหาเพื่อนญี่ปุ่นที่ไทยนั้น เป็นอะไรที่ยากมากกกกกก
หากเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในสังคมเดียวกับเค้า
ถ้าอยากหาเพือนเป็นคนญี่ปุ่น ลองดูตามโรงเรียนต่างๆ
บางที่เค้าจะมีกิจกรรมให้ทำร่วมกับคนญี่ปุ่น
เราก็ใช้ตรงนั้นต่อยอดไป
ไม่งั้นก็ไปลงเรียนตามโรงเรียนเลย
อย่างน้อยต้องได้เจอเซนเซคนญี่ปุ่นพูดคุยกันบ้างแหละ
คนที่มีทุนทรัพย์หน่อยก็บินไปเรียนที่ญี่ปุ่นเลย
รับรองว่าได้พูดสมใจ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมัน"ขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง"
ของแบบนี้ต่อให้ขยันมาเรียนแค่ไหนไปเรียนจนถึงที่ญี่ปุ่นก็แล้ว
แต่ถ้าไม่ยอมเปิดปากลองพูด ก็ไม่มีทางที่จะเก่งได้นะจ๊ะ

Monday, 28 November 2016

"วัดใจ" ว่าจะเรียนได้มั้ย ภาษาญี่ปุ่นเนี่ย!

สำหรับคนที่กำลังจะไปสมัครเรียนภาษาญี่ปุ่นตามสถาบันต่างๆ
จากประสบการณ์ที่ได้สอนคอร์สเริ่มต้นในหลายๆที่
จะสังเกตุว่ามีนร.หลายคนเลยที่ยังไม่รู้ว่า
ตัวเองได้สมัครเข้ามาเรียนภาษาญี่ปุ่น "แบบไหน"
จึงอยากมาเล่าให้เข้าใจก่อนจะไปสมัครเรียนกันค่ะ
โดยปกติตามสถาบันสอนภาษาทั่วไป
จะเริ่มจากการสอนการอ่านเขียน
อักษรฮิรางานะ 46 ตัว และ คาตาคานะ 46 ตัว
แล้วจึงจะเริ่มเข้าสู่บทเรียน ซึ่งระหว่างเรียนตัวอักษร
ก็อาจจะมีการแทรกสำนวนภาษาญี่ปุ่นบ้าง การนับเลขบ้าง
ช่วงเรียนตัวอักษรนี่แหละจะเป็นช่วง "วัดใจ"
ว่าจะเรียนต่อไหวมั้ย หรือจะคาบเดียวจอด
เพราะจะต้องอ่านและเขียนตัวอักษรทั้งหมด 92 ตัวให้ได้
ภายในระยะเวลาประมาณ 18-20 ชม.
(ขึ่นอยู่ว่าเรียนอาทิตย์ละกี่ชม.ก็หารไปเป็นจำนวนสัปดาห์นะคะ)
ถ้าเป็นคนที่เป็นติ่งดาราหรือโอตาคุ แบบบ้าเกมส์ บ้าการ์ตูนญี่ปุ่น
เวลาแค่นี้ถือว่าชิวๆ เพราะบางคนอ่านเขียนเป็นก่อนมาเริ่มด้วยซ้ำไป
แต่สำหรับคนที่ต้องเรียนเพราะต้องทำงานหรือ มีสามีเป็นคนญี่ปุ่น
จะรู้สึกว่ามันยากมากๆๆๆๆๆ แล้วยิ่งถ้า...
แจ็กพ็อตเจอห้องที่ประชากรส่วนมากอ่านเขียนได้เกือบหมดแล้วนี่
บางคนอาจจะถึงกับท้อแล้วไม่มาเรียนอีกเลย TT (ธ่อ..ครูคิดถึงนะ)
ดังนั้น! ก่อนจะจ่ายเงินสมัครเรียน
ควรทำความเข้าใจก่อนว่าเรากำลังมาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น
ที่จะได้สกิลแบบฟังพูดอ่านเขียนครบถ้วนนะ
ไม่ได้มาเรียนแบบเอาแค่พอพูดได้
หากใครที่คิดว่าตัวเองไม่ได้จำเป็นจะต้องอ่านเขียนได้
หรือรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะจำตัวอักษรญี่ปุ่น
แบบรู้สึกว่าแค่พูดก็ลำบากละ อะไร อะๆอิๆอุๆ ยาวโพด 555
ก็ควรเรียนแบบพูดอย่างเดียวไปเลย
ซึ่งสถาบันส่วนใหญ่ก็จะมีเปิดสอนเป็นคอร์ส
ที่เรียนด้วยอักษร โรมาจิ หรือบ้านเราเรียกภาษาคาราโอเกะ
แต่เดี๋ยวๆๆก่อนนะ!
ข้อควรระวังในการเรียนแบบอักษรโรมาจิคือ
จะไม่สามารถต่อยอดไปขั้นกลางได้
จะได้แค่ไวยกรณ์ขั้นต้น พอจะสื่อสารได้ระดับนึง
ซึ่งจากที่พบมามีหลายคนที่เริ่มจากการเรียนโรมาจิ
แล้วก็กลับมาเรียนแบบอักษรญี่ปุ่น
เพราะมันสามารถต่อยอดไปได้ไกลกว่า
แล้วก็มีคนที่แฮ้ปปี้เรียนเพื่อเอาไปพูดตอนไปเที่ยวได้เกร๋ๆพอละ
สรุปคือ
ถ้าจำเป็นต้องใช้ ต้องไปเรียนต่อ ต้องไปทำงาน
ต้องเล่นเกมส์ ต้องดูรายการทีวีให้รู้เรื่องให้ได้
เรียนแบบตัวอักษรฟูลคอร์สโลดเลยจ้า
อ่านมาเองล่วงหน้าเลยยิ่งดี
ถ้าแค่อยากจะลองเรียนดูหรือเป็นแม่บ้าน
ไม่ชอบความยุ่งยากในการอ่านอักษร
ให้เริ่มเรียนแบบโรมาจิดูว่ามันจะโอเคมั้ย
เราพอจะไปได้มั้ยกับภาษาญี่ปุ่น
ดูแล้วไปไหวก็ค่อยมาลงคอร์สตัวอักษรยังไม่สาย
มีอีกหนึ่งทางที่แสนจะประหยัดแต่ต้องอาศัยความพยายาม
เปิดอินเตอร์เน็ทหัดคัดหัดเขียนอักษรเองให้เป็นก่อน
มีเว็ปเยอะแยะมากมายที่สอนให้อ่านเขียนได้
ดูว่าเราพอจะไปได้มั้ยแล้วค่อยมาสมัครเรียนก็ดีนะ

Thursday, 25 December 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน งานพิเศษ (ร้านอาหารไทย)

พอตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนจากเรียนแค่ 1 ปีเป็น 1 ปีครึ่ง ก็เริ่มคิดหาทางขยับขยายว่าจะทำยังไงกับค่าเล่าเรียนและไหนจะที่อยู่อีก เพราะตอนแรกก็กะอยู่หอไปเรื่อยๆ แต่เอาเข้าจริงๆการแชร์ห้องน้ำกับชาวจีนเป็นอะไรที่ $#%&*! มาก ไว้ต่อตอนต่อไปละกัน วันนี้เน้นไปทางทำมาหาเลี้ยงชีพก่อน^^ งานพิเศษที่ทำที่ญี่ปุ่นมี 2 อย่างคือ ร้านอาหารไทย และ สอนภาษาไทย มาติดตามการหางานกันเลยจ้า :)

ก่อนมาญี่ปุ่นก็เตรียมค่าใช้จ่ายไว้พอสำหรับ 1 ปี เลยไม่ได้คิดเรื่องทำงานพิเศษเลย แต่พอจะเปลี่ยนเป็นปีครึ่ง ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มทั้งค่าเรียนและค่าที่อยู่ก็เลยคิดว่าคงต้องทำแล้วล่ะ ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนเก๋ ที่เชี่ยวชาญการหาไบท์ (ไบท์มาจาก アルバイト อะรุไบโตะ ที่แปลว่างานพิเศษในภาษาญี่ปุ่น) คือเพื่อนเก๋ชัดเจนมากแต่แรกว่าจะมาเรียนไปหาเงินไป ก็เลยโชคดีไปมีเพื่อนดี ชวนไปทำงานร้านอาหารไทยที่เธอทำอยู่ ไอ้เราก็ยังหวั่นๆ ตอนนั้นไปเรียนได้เดือนกว่าๆ ภาษาจะไหวมั้ย แต่ได้รับคำตอบจากเพื่อนสุดที่รักว่า "ชั้นเพิ่งเรียนได้ไม่นานยังทำได้เลย แกพูดได้มากกว่าชั้นอีก มาลองก่อน" ขอขอบพระคุณเพื่อนเก๋มา ณ ที่นี้ ที่ทำให้มีงานเงินดีๆทำ^^ (ตอนนี้ชีเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นไปแล้วเรียบร้อย)

มีโอกาสได้ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทย  3 ร้าน ร้านแรกเป็นร้านที่เพื่อนเก๋แนะนำ อยู่ในตึกออฟฟิต ใกล้สถานี Tokyo ดังนั้นตอนกลางวันจะยุ่งระดับซุปเปอร์ ตอนเย็นไม่เท่าไหร่และร้านไม่ใหญ่มาก พอดีเป็นนักเรียนก็เลยทำได้แต่ตอนเย็นยังไม่เคยสัมผัสความยุ่งนั้น (โชคดีไป) ร้านที่สองเป็นร้านเครือเดียวกับร้านแรกแต่อยู่คนละสาขา ร้านนี้อยู่ในห้าง Parco ที่ Ikebukuro (ปัจจุบันเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว) เพราะงั้นเลยได้อารมณ์แบบพนักงานห้างไปในตัว และร้านใหญ่พอสมควร มีระบบกดเรียกพนักงาน ร้านที่ 3 เป็นร้านที่อยู่ในย่าน Shimbashi ย่านคนทำงาน อันนี้ไปทำแทนเพื่อนชั่วคราวตอนเพื่อนกลับไทย ชื่อร้าน Bangkok Kitchen (เครือเดียวกับร้านฟูจิที่ไทย) มี 2 ชั้น ขึ้นบันไดเหนื่อยฮะ

ร้านแรกกับร้านที่สองที่ไปทำเป็นร้านอาหารไทยที่มีคนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของและมีหลายสาขาในโตเกียว ดังนั้นวิธีการทำงานจะเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น คือมีตอกบัตร ลงตารางเวลาอาทิตย์ต่ออาทิตย์ชัดเจน มีซองเงินเดือนแบบแจกแจงรายละเอียดเงินและค่าเดินทาง มีการสัมภาษณ์กับเทนโจคนญี่ปุ่น (ผู้จัดการร้าน) ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น เพราะว่าคนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ รู้สึกว่าต้องเขียนเรซูเม่ด้วยถ้าจำไม่ผิด ตอนสัมภาษณ์อย่างเกร็ง แต่ก็ผ่านไปด้วยดี คำถามไม่ยากมาก เช่น ถามว่ามาเรียนนานมั้ย เคยทำงานที่ไหนมาก่อนรึเปล่า แล้วจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ ทำเวลาไหนได้บ้าง บ้านอยู่ไหน แล้วก็ตกลงว่าต่อชั่วโมงจะได้เท่าไหร่ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มได้ชม.ละ 800 เยน ค่ารถต่างหากให้ตามจริง พอทำมาได้สักพักก็จะมีขึ้นค่าชม.ตอนก่อนออกได้ชม.ละ 900 เยน ซึ่งถือว่าโอเคมากๆ ตอนแรกๆก็ทำอาทิตย์ละ 3 วัน แรกๆไม่อยากทำงานเยอะเพราะจะไม่มีเวลาทบทวนหนังสือ ทำเฉพาะตอนเย็น ตั้งแต่ 5 โมงถึง 5 ทุ่ม หรือถ้าลูกค้าน้อยปิดร้านเร็วก็จะได้ตามชม.ที่ทำจริง เดือนนึงได้ประมาณ 50,000 เยน ซึ่งเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ไม่รวมค่ากิน พออยู่ไปสักครึ่งปีก็เริ่มทำเยอะขึ้น เพิ่มวันอาทิตย์ทำเต็มวันตั้งแต่เที่ยงถึงดึก ก็ได้เงินมากขึ้น เรียกว่าถ้าไม่สิ้นเปลืองก็อยู่ได้สบายๆเลยแหละ

ร้านที่สองที่ไปทำอยู่ในห้าง เฮ้ย ดูดีอะ! ที่ได้ไปทำสาขานี้เพราะมีคนญี่ปุ่นที่ทำสาขาแรกเขาย้ายไปทำและแนะนำมาอีกทีว่าให้ลองไปสมัครดู อารมณ์แบบอยากทำงานในเมืองใหญ่อะค่ะ ขอลองๆ ประกอบกับไม่ชอบหน้าเทนโจร้านแรกเลยทำให้อยากเปลี่ยนพอดี มันให้อารมณ์คนละแบบ เพราะในห้างจะมีลูกค้าหลากหลายมาก ไม่เหมือนร้านแรกที่เป็นคนทำงานซะส่วนใหญ่ นี่ทั้งวัยรุ่น เด็ก แก่ มีหมด สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดคือการออกไปยืนเรียกลูกค้าหน้าร้าน ต้องตะโกนเรียกแขกสไตล์คนญี่ปุ่น และเชิญแขกเข้าร้าน คือสมัครมาทำงานเสริฟ์ค่า TT โดนให้ไปยืนที่ไรทะเลาะกับเทนโจทู้กที และร้านนี้มีบริเวณกว้างพอสมควรขนาดที่ร้านจะมีปุ่มไว้กดเรียกพนักงานด้วย เดินกันทีขาขวิดฮ่ะ แต่ชอบร้านนี้มากกว่าร้านแรกเพราะเทนโจค่อนข้างใจดี ออกแนวบ้าๆบอๆ แล้วเค้าจะให้ลองทำทุกหน้าที่ (มีเพื่อนบอกว่าจริงๆเทนโจมันขี้เกียจทำ555) เช่น รับโทรศัพท์ คิดเงิน แลกเงินทอน ซึ่งตอนอยู่ร้านแรกเทนโจจะเป็นคนทำเองทั้งหมด งานยากที่สุดก็คือคิดเงิน เพราะต้องมีคำพูดที่ว่าทั้งหมดเท่าไหร่ รับเงินลูกค้ามาเท่าไหร่ บางคนใช้การ์ด บัตรลด คูปอง โอ้ยสารพัด เพราะอยู่ในห้าง บัตรลดเยอะมาก ได้ทำทีไรตื่นเต้นตลอดเวลา แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ

ร้านที่ 3 ได้ไปทำแบบชั่วคราวตอนโรงเรียนปิดเทอมฤดูร้อน เพราะเพื่อนจะกลับไทยนาน ถ้าเค้ารับคนใหม่มันจะตกงาน เราเลยไปเสียบแทนชั่วคราว ดีเลยกำลังว่าง555 ร้านนี้เทนโจใจดีระดับซุปเปอร์ ไม่เคยว่าอะไรเลย ทำอย่างมีความสุขมาก ไม่เหมือนร้านแรก เป็นคนญี่ปุ่นแบบดูถูกคนต่างชาติ พูดเอาดีเข้าตัว แค่เห็นหน้าก็เครียดแล้ว!  วิธีทำงานร้านนี้ไม่ยากเท่าสองร้านแรกเพราะเป็นร้านของคนไทย จะมีพี่คนไทยที่เป็นพนักงานประจำอยู่ด้วย เลยทำสบายๆ

เล่าถึงการทำงานเป็นพนักงานเสริฟ์หน่อยละกัน เรียกว่าเกือบทุกคนที่ไปญี่ปุ่นจะต้องเคยทำงานร้านอาหารแน่นอน โดยเฉพาะร้านอาหารไทยเพราะอย่างน้อยเราก็คุ้นเคยกับมัน เอาจริงๆถามว่ายากมั้ย มันจะยากช่วงแรก อะแน่นอน คนเราพอมีประสบการณ์มันก็ต้องดีขึ้น แรกๆก็ต้องนั่งจำชื่ออาหารไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน อย่างทอดมัน ผัดผักบุ้ง ยำวุ้นเส้น ปอเปี๊ยะ เป็นต้น ซึ่งมันไม่ได้ทับศัพท์ในเมนูอาหาร เช่นยำวุ้นเส้นก็จะเรียก 春雨サラダ (ฮะรุซะเมะซะระดะ) ก็ต้องทำความคุ้นเคยกันไป แล้วก็ต้องสามารถพออธิบายได้ว่ามันคืออะไรแบบง่ายๆเผื่อลูกค้าถาม เช่นทอดมันนี่ใช้ปลาอะไรทำ (กรูไม่รู้...ก็วิ่งไปถามพ่อครัวฮะ) แล้วก็จำศัพท์ของที่มีในร้านอาหาร ที่ลูกค้าจะถามถึงบ่อยสุดคือไม้จิ้มฟัน แรกๆโคตรงงเพราะชื่อมันเรียกยาก เรียกว่า つまようじ (ซึมะโยจิ) แต่ศัพท์พวกนี้พอเจอบ่อยๆมันก็จะจำได้เอง แต่ถ้าไม่อยากเงิบๆงงๆก็ท่องไว้ก่อนก็ดีนะ^^

ข้อแนะนำในการทำงานพิเศษร้านอาหาร
ควรเลือกร้านที่มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น เพราะจะได้ฝึกระบบการทำงานแบบญี่ปุ่น และจะได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมากกว่าร้านที่เจ้าของเป็นคนไทย ถ้าใครมั่นๆไปสมัครร้านอาหารญี่ปุ่นเลยยิ่งดี เพราะจะได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย  แต่ถ้าใครจำเป็นที่ต้องหาเงินจริงๆข้อนี้เอาไว้ก่อนก็ได้จ้า ทำที่ไหนก็ได้ที่เราสบายใจ ของเราโชคดีหน่อยที่มีคนแนะนำเข้าไปทำทั้งหมด แต่จริงๆสามารถเข้าไปสมัครร้านที่อยากทำเองได้เลย อย่าเพิ่งไปกลัวว่าเค้าจะรับเรามั้ย มีเพื่อนอยู่หลายคนที่เดินเข้าไปสมัครเองและได้งานโดยที่ไม่มีใครแนะนำ แถมเป็นร้านญี่ปุ่นด้วย อามรณ์แบบอยากทำร้านนี้ ร้านสวยน่ารัก ก็ลองเข้าไปสมัครดูเลย เดี๋ยวนี้คนต่างชาติไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น โอกาสในการสมัครน่าจะมีมากที่เค้าจะรับ ยิ่งคนได้ภาษาอังกฤษด้วยยิ่งดีนะ^^

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย

Monday, 20 October 2014

ของฝากจากญี่ปุ่นที่ไม่ใช่คิทแคทชาเขียว!

ไปญี่ปุ่นมาก็หลายครั้ง ซื้อของฝากจนไม่รู้จะซื้ออะไรดีแล้ว แต่ก็มีของที่ซื้อกลับมาแล้วเพื่อนๆจะชอบมากๆ แบบคราวหน้าไปฝากซื้ออีก เลยเอามาลงบล็อกเผื่อเป็นแนวทางให้สำหรับคนที่ไปแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรดี บอกเลยว่าเป็นของฝากที่ซื้อมาเอง ใช้เอง กินเองแล้วทั้งหมด คนรับก็แฮ้ปปี้ทุกคน แถมบอกว่าคราวหน้าขออีกแน่ะ^^



ปล.ไม่ใช่เป็นการจัดลำดับแต่อย่างใดเพราะชอบทุกอันเท่ากัน ร้ากเธอทุกคน 555+

1. Yoko Moku ヨックモック
คุ้กกี้เคลือบช้อคโกแลต หากใครเคยไปญี่ปุ่นน่าจะเคยเห็นเพราะมีวางขายที่สนามบิน จะห่อเป็นกล่องสีน้ำเงินอักษรร้านสีขาว แต่แนะนำว่าให้ไปซื้อที่ร้านของเค้าดีกว่าเพราะมีให้เลือกเยอะกว่า สามารถหาซื้อตามห้างใหญ่ๆแผนกของกิน และที่ร้านมักจะออกสินค้ารับเทศกาลแต่ละฤดูมาด้วย เช่นช่วงนี้ใกล้ฮาโลวีนก็จะมีสินค้าแนวฮาโลวีน จุดเด่นของยี่ห้อนี้นอกจากเป็นคุ้กกี้ที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว (ทำไมญี่ปุ่นชอบตั้งชื่อขนมเป็นภาษาฝรั่งเศส อ่านยากไม่พอเหรอคร่า T^T)  กล่องใส่คุ้กกี้ยังสวย น่ารัก เหมาะกับการซื้อฝากเป็นอย่างยิ่ง แบบซื้อฝากเพื่อนมีแต่คนของกล่อง555 หากใครชอบขนมแนว Shiroi Koibito (คนรักสีขาว) ลองดูอันนี้แล้วจะลืมคนรักสีขาวไปเลยเชียว อิๆๆๆ 

ราคาเริ่มต้นที่ 800 กว่าเยน ขึ้นอยู่กับขนาดจ้า แต่กล่องเล็กสุดก็มีตั้ง 18 ชิ้นเลย เหมาะซื้อแจกชาวบ้านมากๆ^^
http://www.yokumoku.co.jp/


 

2. Matcha Tiramisu  Chocolate 抹茶ティラミスチョコ
ช็อกโกแลตเคลือบผงชาเขียวข้างในเป็นอัลมอนด์ อร่อยเหาะแบบกินได้ไม่หยุด คอนเฟริม์จากทุกคนที่ได้ลองชิมว่าอร่อย แบบขออีกได้ม้ายยยย (ยกเว้นคนที่ไม่ชอบชาเขียวนะจ๊ะ ให้ซื้อรสอื่นแทน) ซื้อได้ที่ร้านดงกิ  ドン・キホーテ เป็นร้านที่ขายของสารพัดอย่างมีเพนกวิ้นเป็นโลโก้ ถ้าไปตามเมืองใหญ่ๆมีแน่นอน แล้วก็คิดว่าคนที่ไปญี่ปุ่นกับทัวร์น่าจะเคยเห็นมาบ้างเห็นว่าไกด์เอามาขายด้วย 

ถุงเล็ก 250g ราคา 800 yen ถุงใหญ่ 450 g ราคา  1,430yen  



3. Corn Chocolate とうきびチョコ
เวเฟอร์ข้าวโพดเคลือบช็อกโกแลต ยี่ห้อ Hori ホリ เป็นของฝากของจังหวัดฮอกไกโด มีหลายรส ที่เราว่าอร่อยสุดคือแบบ original สีเหลือง (ตามภาพ) ลองสักครั้งจะไม่ลืมความหวาน เคี้ยวกรุปๆ ทานกับน้ำชามีความสุข ///▽/// ถ้าไปฮอกไกโดก็จะมีวางขายทั่วไป ถ้าเป็นเมืองอื่นลองเช็คว่ามีร้านอยู่ที่ไหนตามเว็ปด้านล่าง (ภาษาญี่ปุ่น only จ้า) 

ราคาเริ่มต้นห่อเล็กมี 10 อัน 360 yen
http://www.e-hori.com/


 

4. Glico Almond グリコ アーモンド
1粒で2倍おいしい แค่ 1 หนึ่งเม็ดก็ได้ความอร่อย 2 เท่า ว้าว! แบบนี้ไม่ลองได้ไง 555 บ้าโฆษณา เป็นลูกอมคาลาเมลผสมอัลมอนด์ เคี้ยวหนึบๆเหมือนซูกัส ชอบตรงมีเนื้ออัลมอนด์ เวลาเคี้ยวมันส์ดี แบบที่ขายปกติทั่วไปคือแบบตามภาพ แต่บางทีก็จะเจอกล่องที่มีแถมของเล่นหรือตัวเม็ดเป็นแบบรูปหัวใจ ใครเจอรูปหัวใจขายที่ไหนมาบอกกันบ้างนะ พยายามหาลิงค์ของ original แต่ไม่มีเลย ชื่อก็มีแค่ Glico Almond ดูรูปกันแทนละกันเนอะ xOx 

ราคากล่องละ 120 yen

    



5. ยาอมแก้เจ็บคอ トローチ
ยาอมแก้เจ็บคอภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า โทะโรจิ トローチ จะเป็นเม็ดกลมๆมีรูเหมือนโดนัท ไม่รู้ทำไมแต่ทุกยี่ห้อทำเหมือนกัน บังเอิ้ญตอนไปญี่ปุ่นที่บ้านเพื่อนป่วยกันหมด เราติดไปด้วย ไอกันสนุก เห็นเค้าไปหาหมอแล้วก็เอายามาให้เราด้วย พอเห็นไอ้นี่ตอนแรกไม่รู้ว่าอะไรก็คิดว่าให้เคี้ยว เออ อร่อยดีนะ...555 เพื่อนตกใจ เฮ้ย นั้นมันยาอมนะ อ้าวไม่บอกก่อนล่ะ เห็นมันกัดแล้วก็เปราะเลย เลยจัดไปอีกเม็ด อมไปอมมา อร่อยอะ เม็ดก็น่ารัก กลมๆเหมือนโดนัท เลยไปซื้อกลับมาเอาไว้อมตอนเจ็บคอ ใครสนใจลองดูนะ มีหลายรสชาติด้วย อมแล้วชุ่มคอเย็นๆไม่เหนียวคอ ซื้อได้ตามร้านขายยา มีวางอยู่ตามชั้นจ้า เค้าแนะนำว่าคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปให้อมไม่เกินวันละ 6 เม็ดนะ เดี๋ยวเพลินเกิน อย่าลืมดูคำเตือนตรงกล่องด้วยนะ^^

ราคาประมาณ 300-400 yen 

6. ผ้าอนามัย Panty Liners
อย่าเพิ่งงงนะจ้า ไปญี่ปุ่นต้องซื้อผ้าอนามัยมาใช้เลยเหรอ??? อยากบอกว่ามันใช้ดีกว่าที่ไทยมากกกก โดยเฉพาะแบบบางที่ใส่ได้ทุกวัน อธิบายไม่เท่าลองเอง หากมีโอกาสลองซื้อมาใช้ดูนะคะ แนะนำยี่ห้อサラサーティ (Sarasaty) รุ่น さらりえ SARALIE (รูปผีเสื้อ) กับรุ่น そらら Solala (รูปประต่าย) มีวางขายทั่วไปตามร้านขายยาและซุปเปอร์ เท่าที่ลองมาชอบยี่ห้อนี้สุด ห่อน่ารัก มีแบบมีกลิ่นหรือไม่มีให้เลือกด้วย แผ่นบางใส่สบายได้ทั้งวัน ไม่เป็นขุ่ยด้วยจ้า^^ สำหรับคนที่ไม่ชอบแบบมีกลิ่นให้ดูมุมล่างของห่อจะมีเขียนว่า 無香 

ราคาอยู่ที่ห่อละ 300-400 yen มี 70-80 แผ่น
http://www.kobayashi.co.jp/brand/sarasaty/saralie/index.html




7.ปากกา Pilot Hi-Tec-C รุ่น Maica ゲルインキボールペンハイテックC マイカ
ใครที่ชื่นชอบเครื่องเขียนขอบอกว่าปากการุ่นนี้จะโดนใจท่านอย่างแรง ยิ่งถ้าชอบแบบเส้นเล็กๆ หมึกสวยๆ รุ่นนี้เขียนดีมากๆ ตัวด้ามก็ดูดีขนาดที่ใช้แล้วต้องมีคนถามว่าซื้อที่ไหน  เป็นหมึกเจลมีขนาดหัวให้เลือก 0.3mm กับ 0.4mm ตรงปลอกมีห่วงไว้ให้ห้อยพวงกุญแจได้อีกด้วย หาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป มีให้เลือก 12 สี 

ราคาแท่งละ 157 yen

http://www.pilot.co.jp/press_release/2013/01/18/hitec_c.html

8.Gatsby Ice Deodorant アイスデオドラント
กระดาษทิชชู่เย็นแบบเปียก ไม่ต้องพึ่งตู้เย็นแค่เปิดซองมาเช็ดก็เย็นว้าบเลยทีเดียว เหมาะมากๆสำหรับหน้าร้อนตลอดปีตลอดชาติแบบประเทศไทยเรา มีแบบฉีดด้วยเอ้า เย็นนานไม่เหนอะหนะ หาซื้อได้ทั่วไปเลยโดยเฉพาะหน้าร้อน แต่ถ้าไปซื้อฤดูอื่นอาจจะหายากหน่อยนะจ๊ะ 

ห่อเล็ก 10 แผ่น ราคาประมาณ 250-300 yen  ห่อใหญ่ 30 ราคา 300-400 yen เลือกเอาตามสะดวก แต่ห่อใหญ่คุ้มกว่านะ^^

 

9. น้ำยาหยอดตาแบบเย็น Rohto Z! Eye drop  ロートジー
ปกติน้ำยาหยอดตาก็จะธรรมดาๆ ยี่ห้อไหนๆก็คล้ายๆกัน วันนี้ขอนำเสนอแบบหยอดแล้วเย็น ตาปิ๊งๆขึ้นมาทันที 555 เวลาตาล้าๆมองคอมนานๆ หรือง่วงนอนนี่ได้ผลดีเชียว ชอบยี่ห้อ Rohto ที่สุด มี Exile เป็น presenter ด้วย^^ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เวลาซื้อให้ดูระดับความเย็นที่หน้ากล่องมีตั้งแต่ 1-8 ระดับ 8 คือเย็นสุด รุ่น Z มีทั้งหมด 3 แบบ คือ
1. สำหรับคนใส่คอนแทคเลนส์
2. สำหรับตาเหนื่อยล้าจากการมองแสงแดด เล่นกีฬากลางแจ้ง
3. สำหรับตาเหนื่อยล้าจากการมองคอมพิวเตอร์หรือจ้องอะไรนานๆ
ให้ดูที่กล่องจะมีรูปบอกอยู่ สำหรับคนใส่คอนแทคเลนส์ก็จะเขียนคำว่า Contact หน้ากล่อง

ราคา 600-700 yen
http://jp.rohto.com/zi/eyedrop-pro/







10. เหล้าบ๊วย 梅酒
อุเมะชู คือเหล้าบ๊วยที่จัดว่าเป็นของที่น่าซื้อฝากมากๆแต่โทษนะคือมันหนักอะ >< หาซื้อง่ายซุปเปอร์ก็มีเซเว่นก็มี เอาถูกสุดต้องซื้อตามพวก Local Supermarket ในสนามบินก็มีแต่จะแพงกว่า แค่ก็แลกกับการที่ไม่ต้องแบกเนอะ ==' ที่นิยมกันคือแบบสีเขียว Alcohol 14% (รูปกล่องขวา) และแบบสีชมพู Alcohol 10% (รูปกล่องซ้าย) ที่ออกมาใหม่เน้นผู้หญิงก็ดื่มได้รสชาติละมุนกว่าสีเขียว มีทั้งแบบขวดแก้วและกล่อง คอเหล้าไม่ควรพลาดนะจ้า เอากลับมาไม่ไหวก็ซัดที่โน่นไป โฮกๆๆๆ

ราคาตามในภาพจ้าถ่ายจากซุปเปอร์
http://www.choya.co.jp/

























Sunday, 19 October 2014

Line UFO Catcher

Line UFO Catcher
ภาษาญี่ปุ่นจะเรียกตู้หนีบตุ๊กตาว่า UFO キャッチャー (ยูโฟ แคตช่า) ใครไปญี่ปุ่นจะต้องเห็นเจ้าตู้พวกนี้เยอะแยะมากมาย ล่อตาล่อใจให้หนีบกลับมาบ้านมาเป็นของฝากจริงๆ ตู้ที่ถนัดที่สุดและคิดว่าง่ายพอสมควรคือตู้ของ Line Character คือจริงๆชอบเป็นการส่วนตัวแต่เดี๋ยวก่อนค่ะ! พอบอกง่ายก็ไม่ใช่ว่ามันจะง่ายแบบหยอดร้อยเยนกดได้เลย (ขั้นต่ำคือ ร้อยเยน) วันนี้จะมาบอกเคล็ดลับ เผื่อใครสนใจ แต่อย่ามาแย่งเค้ากดเยอะน้า แหะๆ

1. เลือกตู้ที่ขามีแรง อันนี้เราจะดูยากหากไม่ได้ลองหยอดดูสักรอบก่อน
2. เลือกตู้ที่มีตุ๊กตาวางอยู่ริมขอบเยอะๆ อย่าไปเล่นตู้ที่โหรงเหรงเพราะมันจะหนีบยาก