Thursday 25 December 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน งานพิเศษ (ร้านอาหารไทย)

พอตัดสินใจได้ว่าจะเปลี่ยนจากเรียนแค่ 1 ปีเป็น 1 ปีครึ่ง ก็เริ่มคิดหาทางขยับขยายว่าจะทำยังไงกับค่าเล่าเรียนและไหนจะที่อยู่อีก เพราะตอนแรกก็กะอยู่หอไปเรื่อยๆ แต่เอาเข้าจริงๆการแชร์ห้องน้ำกับชาวจีนเป็นอะไรที่ $#%&*! มาก ไว้ต่อตอนต่อไปละกัน วันนี้เน้นไปทางทำมาหาเลี้ยงชีพก่อน^^ งานพิเศษที่ทำที่ญี่ปุ่นมี 2 อย่างคือ ร้านอาหารไทย และ สอนภาษาไทย มาติดตามการหางานกันเลยจ้า :)

ก่อนมาญี่ปุ่นก็เตรียมค่าใช้จ่ายไว้พอสำหรับ 1 ปี เลยไม่ได้คิดเรื่องทำงานพิเศษเลย แต่พอจะเปลี่ยนเป็นปีครึ่ง ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มทั้งค่าเรียนและค่าที่อยู่ก็เลยคิดว่าคงต้องทำแล้วล่ะ ก็เลยไปปรึกษาเพื่อนเก๋ ที่เชี่ยวชาญการหาไบท์ (ไบท์มาจาก アルバイト อะรุไบโตะ ที่แปลว่างานพิเศษในภาษาญี่ปุ่น) คือเพื่อนเก๋ชัดเจนมากแต่แรกว่าจะมาเรียนไปหาเงินไป ก็เลยโชคดีไปมีเพื่อนดี ชวนไปทำงานร้านอาหารไทยที่เธอทำอยู่ ไอ้เราก็ยังหวั่นๆ ตอนนั้นไปเรียนได้เดือนกว่าๆ ภาษาจะไหวมั้ย แต่ได้รับคำตอบจากเพื่อนสุดที่รักว่า "ชั้นเพิ่งเรียนได้ไม่นานยังทำได้เลย แกพูดได้มากกว่าชั้นอีก มาลองก่อน" ขอขอบพระคุณเพื่อนเก๋มา ณ ที่นี้ ที่ทำให้มีงานเงินดีๆทำ^^ (ตอนนี้ชีเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยในญี่ปุ่นไปแล้วเรียบร้อย)

มีโอกาสได้ไปทำงานพิเศษที่ร้านอาหารไทย  3 ร้าน ร้านแรกเป็นร้านที่เพื่อนเก๋แนะนำ อยู่ในตึกออฟฟิต ใกล้สถานี Tokyo ดังนั้นตอนกลางวันจะยุ่งระดับซุปเปอร์ ตอนเย็นไม่เท่าไหร่และร้านไม่ใหญ่มาก พอดีเป็นนักเรียนก็เลยทำได้แต่ตอนเย็นยังไม่เคยสัมผัสความยุ่งนั้น (โชคดีไป) ร้านที่สองเป็นร้านเครือเดียวกับร้านแรกแต่อยู่คนละสาขา ร้านนี้อยู่ในห้าง Parco ที่ Ikebukuro (ปัจจุบันเปลี่ยนเจ้าของไปแล้ว) เพราะงั้นเลยได้อารมณ์แบบพนักงานห้างไปในตัว และร้านใหญ่พอสมควร มีระบบกดเรียกพนักงาน ร้านที่ 3 เป็นร้านที่อยู่ในย่าน Shimbashi ย่านคนทำงาน อันนี้ไปทำแทนเพื่อนชั่วคราวตอนเพื่อนกลับไทย ชื่อร้าน Bangkok Kitchen (เครือเดียวกับร้านฟูจิที่ไทย) มี 2 ชั้น ขึ้นบันไดเหนื่อยฮะ

ร้านแรกกับร้านที่สองที่ไปทำเป็นร้านอาหารไทยที่มีคนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของและมีหลายสาขาในโตเกียว ดังนั้นวิธีการทำงานจะเหมือนร้านอาหารญี่ปุ่น คือมีตอกบัตร ลงตารางเวลาอาทิตย์ต่ออาทิตย์ชัดเจน มีซองเงินเดือนแบบแจกแจงรายละเอียดเงินและค่าเดินทาง มีการสัมภาษณ์กับเทนโจคนญี่ปุ่น (ผู้จัดการร้าน) ซึ่งเป็นคนญี่ปุ่น เพราะว่าคนญี่ปุ่นเป็นเจ้าของ รู้สึกว่าต้องเขียนเรซูเม่ด้วยถ้าจำไม่ผิด ตอนสัมภาษณ์อย่างเกร็ง แต่ก็ผ่านไปด้วยดี คำถามไม่ยากมาก เช่น ถามว่ามาเรียนนานมั้ย เคยทำงานที่ไหนมาก่อนรึเปล่า แล้วจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ ทำเวลาไหนได้บ้าง บ้านอยู่ไหน แล้วก็ตกลงว่าต่อชั่วโมงจะได้เท่าไหร่ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มได้ชม.ละ 800 เยน ค่ารถต่างหากให้ตามจริง พอทำมาได้สักพักก็จะมีขึ้นค่าชม.ตอนก่อนออกได้ชม.ละ 900 เยน ซึ่งถือว่าโอเคมากๆ ตอนแรกๆก็ทำอาทิตย์ละ 3 วัน แรกๆไม่อยากทำงานเยอะเพราะจะไม่มีเวลาทบทวนหนังสือ ทำเฉพาะตอนเย็น ตั้งแต่ 5 โมงถึง 5 ทุ่ม หรือถ้าลูกค้าน้อยปิดร้านเร็วก็จะได้ตามชม.ที่ทำจริง เดือนนึงได้ประมาณ 50,000 เยน ซึ่งเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายต่อเดือนที่ไม่รวมค่ากิน พออยู่ไปสักครึ่งปีก็เริ่มทำเยอะขึ้น เพิ่มวันอาทิตย์ทำเต็มวันตั้งแต่เที่ยงถึงดึก ก็ได้เงินมากขึ้น เรียกว่าถ้าไม่สิ้นเปลืองก็อยู่ได้สบายๆเลยแหละ

ร้านที่สองที่ไปทำอยู่ในห้าง เฮ้ย ดูดีอะ! ที่ได้ไปทำสาขานี้เพราะมีคนญี่ปุ่นที่ทำสาขาแรกเขาย้ายไปทำและแนะนำมาอีกทีว่าให้ลองไปสมัครดู อารมณ์แบบอยากทำงานในเมืองใหญ่อะค่ะ ขอลองๆ ประกอบกับไม่ชอบหน้าเทนโจร้านแรกเลยทำให้อยากเปลี่ยนพอดี มันให้อารมณ์คนละแบบ เพราะในห้างจะมีลูกค้าหลากหลายมาก ไม่เหมือนร้านแรกที่เป็นคนทำงานซะส่วนใหญ่ นี่ทั้งวัยรุ่น เด็ก แก่ มีหมด สิ่งที่ไม่ชอบที่สุดคือการออกไปยืนเรียกลูกค้าหน้าร้าน ต้องตะโกนเรียกแขกสไตล์คนญี่ปุ่น และเชิญแขกเข้าร้าน คือสมัครมาทำงานเสริฟ์ค่า TT โดนให้ไปยืนที่ไรทะเลาะกับเทนโจทู้กที และร้านนี้มีบริเวณกว้างพอสมควรขนาดที่ร้านจะมีปุ่มไว้กดเรียกพนักงานด้วย เดินกันทีขาขวิดฮ่ะ แต่ชอบร้านนี้มากกว่าร้านแรกเพราะเทนโจค่อนข้างใจดี ออกแนวบ้าๆบอๆ แล้วเค้าจะให้ลองทำทุกหน้าที่ (มีเพื่อนบอกว่าจริงๆเทนโจมันขี้เกียจทำ555) เช่น รับโทรศัพท์ คิดเงิน แลกเงินทอน ซึ่งตอนอยู่ร้านแรกเทนโจจะเป็นคนทำเองทั้งหมด งานยากที่สุดก็คือคิดเงิน เพราะต้องมีคำพูดที่ว่าทั้งหมดเท่าไหร่ รับเงินลูกค้ามาเท่าไหร่ บางคนใช้การ์ด บัตรลด คูปอง โอ้ยสารพัด เพราะอยู่ในห้าง บัตรลดเยอะมาก ได้ทำทีไรตื่นเต้นตลอดเวลา แต่เป็นประสบการณ์ที่ดีจริงๆ

ร้านที่ 3 ได้ไปทำแบบชั่วคราวตอนโรงเรียนปิดเทอมฤดูร้อน เพราะเพื่อนจะกลับไทยนาน ถ้าเค้ารับคนใหม่มันจะตกงาน เราเลยไปเสียบแทนชั่วคราว ดีเลยกำลังว่าง555 ร้านนี้เทนโจใจดีระดับซุปเปอร์ ไม่เคยว่าอะไรเลย ทำอย่างมีความสุขมาก ไม่เหมือนร้านแรก เป็นคนญี่ปุ่นแบบดูถูกคนต่างชาติ พูดเอาดีเข้าตัว แค่เห็นหน้าก็เครียดแล้ว!  วิธีทำงานร้านนี้ไม่ยากเท่าสองร้านแรกเพราะเป็นร้านของคนไทย จะมีพี่คนไทยที่เป็นพนักงานประจำอยู่ด้วย เลยทำสบายๆ

เล่าถึงการทำงานเป็นพนักงานเสริฟ์หน่อยละกัน เรียกว่าเกือบทุกคนที่ไปญี่ปุ่นจะต้องเคยทำงานร้านอาหารแน่นอน โดยเฉพาะร้านอาหารไทยเพราะอย่างน้อยเราก็คุ้นเคยกับมัน เอาจริงๆถามว่ายากมั้ย มันจะยากช่วงแรก อะแน่นอน คนเราพอมีประสบการณ์มันก็ต้องดีขึ้น แรกๆก็ต้องนั่งจำชื่ออาหารไทยเป็นภาษาญี่ปุ่นก่อน อย่างทอดมัน ผัดผักบุ้ง ยำวุ้นเส้น ปอเปี๊ยะ เป็นต้น ซึ่งมันไม่ได้ทับศัพท์ในเมนูอาหาร เช่นยำวุ้นเส้นก็จะเรียก 春雨サラダ (ฮะรุซะเมะซะระดะ) ก็ต้องทำความคุ้นเคยกันไป แล้วก็ต้องสามารถพออธิบายได้ว่ามันคืออะไรแบบง่ายๆเผื่อลูกค้าถาม เช่นทอดมันนี่ใช้ปลาอะไรทำ (กรูไม่รู้...ก็วิ่งไปถามพ่อครัวฮะ) แล้วก็จำศัพท์ของที่มีในร้านอาหาร ที่ลูกค้าจะถามถึงบ่อยสุดคือไม้จิ้มฟัน แรกๆโคตรงงเพราะชื่อมันเรียกยาก เรียกว่า つまようじ (ซึมะโยจิ) แต่ศัพท์พวกนี้พอเจอบ่อยๆมันก็จะจำได้เอง แต่ถ้าไม่อยากเงิบๆงงๆก็ท่องไว้ก่อนก็ดีนะ^^

ข้อแนะนำในการทำงานพิเศษร้านอาหาร
ควรเลือกร้านที่มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น เพราะจะได้ฝึกระบบการทำงานแบบญี่ปุ่น และจะได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นมากกว่าร้านที่เจ้าของเป็นคนไทย ถ้าใครมั่นๆไปสมัครร้านอาหารญี่ปุ่นเลยยิ่งดี เพราะจะได้ฝึกภาษาไปในตัวด้วย  แต่ถ้าใครจำเป็นที่ต้องหาเงินจริงๆข้อนี้เอาไว้ก่อนก็ได้จ้า ทำที่ไหนก็ได้ที่เราสบายใจ ของเราโชคดีหน่อยที่มีคนแนะนำเข้าไปทำทั้งหมด แต่จริงๆสามารถเข้าไปสมัครร้านที่อยากทำเองได้เลย อย่าเพิ่งไปกลัวว่าเค้าจะรับเรามั้ย มีเพื่อนอยู่หลายคนที่เดินเข้าไปสมัครเองและได้งานโดยที่ไม่มีใครแนะนำ แถมเป็นร้านญี่ปุ่นด้วย อามรณ์แบบอยากทำร้านนี้ ร้านสวยน่ารัก ก็ลองเข้าไปสมัครดูเลย เดี๋ยวนี้คนต่างชาติไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น โอกาสในการสมัครน่าจะมีมากที่เค้าจะรับ ยิ่งคนได้ภาษาอังกฤษด้วยยิ่งดีนะ^^

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย

Monday 20 October 2014

ของฝากจากญี่ปุ่นที่ไม่ใช่คิทแคทชาเขียว!

ไปญี่ปุ่นมาก็หลายครั้ง ซื้อของฝากจนไม่รู้จะซื้ออะไรดีแล้ว แต่ก็มีของที่ซื้อกลับมาแล้วเพื่อนๆจะชอบมากๆ แบบคราวหน้าไปฝากซื้ออีก เลยเอามาลงบล็อกเผื่อเป็นแนวทางให้สำหรับคนที่ไปแล้วไม่รู้จะซื้ออะไรดี บอกเลยว่าเป็นของฝากที่ซื้อมาเอง ใช้เอง กินเองแล้วทั้งหมด คนรับก็แฮ้ปปี้ทุกคน แถมบอกว่าคราวหน้าขออีกแน่ะ^^



ปล.ไม่ใช่เป็นการจัดลำดับแต่อย่างใดเพราะชอบทุกอันเท่ากัน ร้ากเธอทุกคน 555+

1. Yoko Moku ヨックモック
คุ้กกี้เคลือบช้อคโกแลต หากใครเคยไปญี่ปุ่นน่าจะเคยเห็นเพราะมีวางขายที่สนามบิน จะห่อเป็นกล่องสีน้ำเงินอักษรร้านสีขาว แต่แนะนำว่าให้ไปซื้อที่ร้านของเค้าดีกว่าเพราะมีให้เลือกเยอะกว่า สามารถหาซื้อตามห้างใหญ่ๆแผนกของกิน และที่ร้านมักจะออกสินค้ารับเทศกาลแต่ละฤดูมาด้วย เช่นช่วงนี้ใกล้ฮาโลวีนก็จะมีสินค้าแนวฮาโลวีน จุดเด่นของยี่ห้อนี้นอกจากเป็นคุ้กกี้ที่มีชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสแล้ว (ทำไมญี่ปุ่นชอบตั้งชื่อขนมเป็นภาษาฝรั่งเศส อ่านยากไม่พอเหรอคร่า T^T)  กล่องใส่คุ้กกี้ยังสวย น่ารัก เหมาะกับการซื้อฝากเป็นอย่างยิ่ง แบบซื้อฝากเพื่อนมีแต่คนของกล่อง555 หากใครชอบขนมแนว Shiroi Koibito (คนรักสีขาว) ลองดูอันนี้แล้วจะลืมคนรักสีขาวไปเลยเชียว อิๆๆๆ 

ราคาเริ่มต้นที่ 800 กว่าเยน ขึ้นอยู่กับขนาดจ้า แต่กล่องเล็กสุดก็มีตั้ง 18 ชิ้นเลย เหมาะซื้อแจกชาวบ้านมากๆ^^
http://www.yokumoku.co.jp/


 

2. Matcha Tiramisu  Chocolate 抹茶ティラミスチョコ
ช็อกโกแลตเคลือบผงชาเขียวข้างในเป็นอัลมอนด์ อร่อยเหาะแบบกินได้ไม่หยุด คอนเฟริม์จากทุกคนที่ได้ลองชิมว่าอร่อย แบบขออีกได้ม้ายยยย (ยกเว้นคนที่ไม่ชอบชาเขียวนะจ๊ะ ให้ซื้อรสอื่นแทน) ซื้อได้ที่ร้านดงกิ  ドン・キホーテ เป็นร้านที่ขายของสารพัดอย่างมีเพนกวิ้นเป็นโลโก้ ถ้าไปตามเมืองใหญ่ๆมีแน่นอน แล้วก็คิดว่าคนที่ไปญี่ปุ่นกับทัวร์น่าจะเคยเห็นมาบ้างเห็นว่าไกด์เอามาขายด้วย 

ถุงเล็ก 250g ราคา 800 yen ถุงใหญ่ 450 g ราคา  1,430yen  



3. Corn Chocolate とうきびチョコ
เวเฟอร์ข้าวโพดเคลือบช็อกโกแลต ยี่ห้อ Hori ホリ เป็นของฝากของจังหวัดฮอกไกโด มีหลายรส ที่เราว่าอร่อยสุดคือแบบ original สีเหลือง (ตามภาพ) ลองสักครั้งจะไม่ลืมความหวาน เคี้ยวกรุปๆ ทานกับน้ำชามีความสุข ///▽/// ถ้าไปฮอกไกโดก็จะมีวางขายทั่วไป ถ้าเป็นเมืองอื่นลองเช็คว่ามีร้านอยู่ที่ไหนตามเว็ปด้านล่าง (ภาษาญี่ปุ่น only จ้า) 

ราคาเริ่มต้นห่อเล็กมี 10 อัน 360 yen
http://www.e-hori.com/


 

4. Glico Almond グリコ アーモンド
1粒で2倍おいしい แค่ 1 หนึ่งเม็ดก็ได้ความอร่อย 2 เท่า ว้าว! แบบนี้ไม่ลองได้ไง 555 บ้าโฆษณา เป็นลูกอมคาลาเมลผสมอัลมอนด์ เคี้ยวหนึบๆเหมือนซูกัส ชอบตรงมีเนื้ออัลมอนด์ เวลาเคี้ยวมันส์ดี แบบที่ขายปกติทั่วไปคือแบบตามภาพ แต่บางทีก็จะเจอกล่องที่มีแถมของเล่นหรือตัวเม็ดเป็นแบบรูปหัวใจ ใครเจอรูปหัวใจขายที่ไหนมาบอกกันบ้างนะ พยายามหาลิงค์ของ original แต่ไม่มีเลย ชื่อก็มีแค่ Glico Almond ดูรูปกันแทนละกันเนอะ xOx 

ราคากล่องละ 120 yen

    



5. ยาอมแก้เจ็บคอ トローチ
ยาอมแก้เจ็บคอภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า โทะโรจิ トローチ จะเป็นเม็ดกลมๆมีรูเหมือนโดนัท ไม่รู้ทำไมแต่ทุกยี่ห้อทำเหมือนกัน บังเอิ้ญตอนไปญี่ปุ่นที่บ้านเพื่อนป่วยกันหมด เราติดไปด้วย ไอกันสนุก เห็นเค้าไปหาหมอแล้วก็เอายามาให้เราด้วย พอเห็นไอ้นี่ตอนแรกไม่รู้ว่าอะไรก็คิดว่าให้เคี้ยว เออ อร่อยดีนะ...555 เพื่อนตกใจ เฮ้ย นั้นมันยาอมนะ อ้าวไม่บอกก่อนล่ะ เห็นมันกัดแล้วก็เปราะเลย เลยจัดไปอีกเม็ด อมไปอมมา อร่อยอะ เม็ดก็น่ารัก กลมๆเหมือนโดนัท เลยไปซื้อกลับมาเอาไว้อมตอนเจ็บคอ ใครสนใจลองดูนะ มีหลายรสชาติด้วย อมแล้วชุ่มคอเย็นๆไม่เหนียวคอ ซื้อได้ตามร้านขายยา มีวางอยู่ตามชั้นจ้า เค้าแนะนำว่าคนที่อายุ 15 ปีขึ้นไปให้อมไม่เกินวันละ 6 เม็ดนะ เดี๋ยวเพลินเกิน อย่าลืมดูคำเตือนตรงกล่องด้วยนะ^^

ราคาประมาณ 300-400 yen 

6. ผ้าอนามัย Panty Liners
อย่าเพิ่งงงนะจ้า ไปญี่ปุ่นต้องซื้อผ้าอนามัยมาใช้เลยเหรอ??? อยากบอกว่ามันใช้ดีกว่าที่ไทยมากกกก โดยเฉพาะแบบบางที่ใส่ได้ทุกวัน อธิบายไม่เท่าลองเอง หากมีโอกาสลองซื้อมาใช้ดูนะคะ แนะนำยี่ห้อサラサーティ (Sarasaty) รุ่น さらりえ SARALIE (รูปผีเสื้อ) กับรุ่น そらら Solala (รูปประต่าย) มีวางขายทั่วไปตามร้านขายยาและซุปเปอร์ เท่าที่ลองมาชอบยี่ห้อนี้สุด ห่อน่ารัก มีแบบมีกลิ่นหรือไม่มีให้เลือกด้วย แผ่นบางใส่สบายได้ทั้งวัน ไม่เป็นขุ่ยด้วยจ้า^^ สำหรับคนที่ไม่ชอบแบบมีกลิ่นให้ดูมุมล่างของห่อจะมีเขียนว่า 無香 

ราคาอยู่ที่ห่อละ 300-400 yen มี 70-80 แผ่น
http://www.kobayashi.co.jp/brand/sarasaty/saralie/index.html




7.ปากกา Pilot Hi-Tec-C รุ่น Maica ゲルインキボールペンハイテックC マイカ
ใครที่ชื่นชอบเครื่องเขียนขอบอกว่าปากการุ่นนี้จะโดนใจท่านอย่างแรง ยิ่งถ้าชอบแบบเส้นเล็กๆ หมึกสวยๆ รุ่นนี้เขียนดีมากๆ ตัวด้ามก็ดูดีขนาดที่ใช้แล้วต้องมีคนถามว่าซื้อที่ไหน  เป็นหมึกเจลมีขนาดหัวให้เลือก 0.3mm กับ 0.4mm ตรงปลอกมีห่วงไว้ให้ห้อยพวงกุญแจได้อีกด้วย หาซื้อได้ตามร้านเครื่องเขียนทั่วไป มีให้เลือก 12 สี 

ราคาแท่งละ 157 yen

http://www.pilot.co.jp/press_release/2013/01/18/hitec_c.html

8.Gatsby Ice Deodorant アイスデオドラント
กระดาษทิชชู่เย็นแบบเปียก ไม่ต้องพึ่งตู้เย็นแค่เปิดซองมาเช็ดก็เย็นว้าบเลยทีเดียว เหมาะมากๆสำหรับหน้าร้อนตลอดปีตลอดชาติแบบประเทศไทยเรา มีแบบฉีดด้วยเอ้า เย็นนานไม่เหนอะหนะ หาซื้อได้ทั่วไปเลยโดยเฉพาะหน้าร้อน แต่ถ้าไปซื้อฤดูอื่นอาจจะหายากหน่อยนะจ๊ะ 

ห่อเล็ก 10 แผ่น ราคาประมาณ 250-300 yen  ห่อใหญ่ 30 ราคา 300-400 yen เลือกเอาตามสะดวก แต่ห่อใหญ่คุ้มกว่านะ^^

 

9. น้ำยาหยอดตาแบบเย็น Rohto Z! Eye drop  ロートジー
ปกติน้ำยาหยอดตาก็จะธรรมดาๆ ยี่ห้อไหนๆก็คล้ายๆกัน วันนี้ขอนำเสนอแบบหยอดแล้วเย็น ตาปิ๊งๆขึ้นมาทันที 555 เวลาตาล้าๆมองคอมนานๆ หรือง่วงนอนนี่ได้ผลดีเชียว ชอบยี่ห้อ Rohto ที่สุด มี Exile เป็น presenter ด้วย^^ หาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป เวลาซื้อให้ดูระดับความเย็นที่หน้ากล่องมีตั้งแต่ 1-8 ระดับ 8 คือเย็นสุด รุ่น Z มีทั้งหมด 3 แบบ คือ
1. สำหรับคนใส่คอนแทคเลนส์
2. สำหรับตาเหนื่อยล้าจากการมองแสงแดด เล่นกีฬากลางแจ้ง
3. สำหรับตาเหนื่อยล้าจากการมองคอมพิวเตอร์หรือจ้องอะไรนานๆ
ให้ดูที่กล่องจะมีรูปบอกอยู่ สำหรับคนใส่คอนแทคเลนส์ก็จะเขียนคำว่า Contact หน้ากล่อง

ราคา 600-700 yen
http://jp.rohto.com/zi/eyedrop-pro/







10. เหล้าบ๊วย 梅酒
อุเมะชู คือเหล้าบ๊วยที่จัดว่าเป็นของที่น่าซื้อฝากมากๆแต่โทษนะคือมันหนักอะ >< หาซื้อง่ายซุปเปอร์ก็มีเซเว่นก็มี เอาถูกสุดต้องซื้อตามพวก Local Supermarket ในสนามบินก็มีแต่จะแพงกว่า แค่ก็แลกกับการที่ไม่ต้องแบกเนอะ ==' ที่นิยมกันคือแบบสีเขียว Alcohol 14% (รูปกล่องขวา) และแบบสีชมพู Alcohol 10% (รูปกล่องซ้าย) ที่ออกมาใหม่เน้นผู้หญิงก็ดื่มได้รสชาติละมุนกว่าสีเขียว มีทั้งแบบขวดแก้วและกล่อง คอเหล้าไม่ควรพลาดนะจ้า เอากลับมาไม่ไหวก็ซัดที่โน่นไป โฮกๆๆๆ

ราคาตามในภาพจ้าถ่ายจากซุปเปอร์
http://www.choya.co.jp/

























Sunday 19 October 2014

Line UFO Catcher

Line UFO Catcher
ภาษาญี่ปุ่นจะเรียกตู้หนีบตุ๊กตาว่า UFO キャッチャー (ยูโฟ แคตช่า) ใครไปญี่ปุ่นจะต้องเห็นเจ้าตู้พวกนี้เยอะแยะมากมาย ล่อตาล่อใจให้หนีบกลับมาบ้านมาเป็นของฝากจริงๆ ตู้ที่ถนัดที่สุดและคิดว่าง่ายพอสมควรคือตู้ของ Line Character คือจริงๆชอบเป็นการส่วนตัวแต่เดี๋ยวก่อนค่ะ! พอบอกง่ายก็ไม่ใช่ว่ามันจะง่ายแบบหยอดร้อยเยนกดได้เลย (ขั้นต่ำคือ ร้อยเยน) วันนี้จะมาบอกเคล็ดลับ เผื่อใครสนใจ แต่อย่ามาแย่งเค้ากดเยอะน้า แหะๆ

1. เลือกตู้ที่ขามีแรง อันนี้เราจะดูยากหากไม่ได้ลองหยอดดูสักรอบก่อน
2. เลือกตู้ที่มีตุ๊กตาวางอยู่ริมขอบเยอะๆ อย่าไปเล่นตู้ที่โหรงเหรงเพราะมันจะหนีบยาก

 

Wednesday 3 September 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน เริ่มเรียนแบบเงิบๆ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน 2 ตอนแรกจนมาถึงตอนที่ 3 นี้ ตอนแรกที่ตั้งงบไว้กะไปเรียนแค่ 1 ปี ก็สมัครไปตามนั้น ตอนที่ไป ไปตอนเดือนตุลาคม ซึ่งสมัยก่อน (โอ้โห ดูมันน้านนานมาแล้ว...) สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นยังมีแค่ปีละครั้ง  (สอบเดือนธันวาของทุกปี) จุดนี้ทำให้พลาดไปนิดหน่อยเพราะถ้าไปเดือนตุลาก็มีเวลาเรียนแค่ 2 เดือนก่อนสอบ ซึ่งก่อนไปทางโรงเรียนโตโยที่จะไปเรียนก็ถามมาว่าเราจะสมัครสอบไว้ก่อนเลยมั้ย เพราะมันต้องสมัครก่อนล่วงหน้า เราก็โอเคจ้า ไหนๆไปแล้วลองโลดแบบไม่คิด สอบระดับ 2 เลยจ้า (สมัยก่อนยังคงมีแค่ 4 ระดับ, ระดับ 1 คือสูงสุด) แหม่ในใจคิดว่าเฮ้ย! เรียน 2 เดือนเอาระดับสองเลย แล้วเรียนจบกลับมาก็สอบระดับ 1 พอดี ช่างเป็นความคิดที่ดูดีทีเดียวเชียว! แต่ในความเป็นจริง (ที่ไม่ได้ดูความสามารถตัวเองเล้ย) คือมันยากกกกกมากกกกกค่า ติดตามความเงิบของอิชั้นได้ดังต่อไปนี้

สอบแบ่งชั้นเรียนง่อยมาก
ไปถึงโรงเรียนวันแรกจะมีการสอบวัดระดับแบ่งชั้นเรียน แหม อายอะตอนแรกกะว่าจะได้เรียนแบบชั้นกลาง แต่สอบออกมาได้ชั้นต้นจ้า ง่อยมาก555 นี่เป็นเพราะการเรียนแบบไม่ปะติดปะต่อกันและไม่มีพื้นฐานไวยกรณ์ที่ดี ถึงแม้ว่าจะพูดพอได้แต่ภาษาพูดกับภาษาเขียนมันคนละเรื่อง และก่อนไปก็ไม่ได้เรียนเตรียมไปก่อนเลยจ้า จบมหาลัยก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ซึ่งการเรียนภาษาญี่ปุ่นก็จำเป็นที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ถึงจะสื่อสารเป็นประโยคได้ดี (จริงๆก็ทุกภาษานะ) นี่คือจุดประสงค์ที่มาเรียนเลย เพราะรู้สึกว่าแต่งประโยคไม่เป็นสักที ฟังพอได้เพราะชอบดูละคร ดูรายการทีวี แต่จะพูดทีนึงจะได้เป็นคำๆไป อธิบายยาวๆไม่ถูก โอเค วกมาเรื่องสอบแบ่งห้อง อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าที่เลือกโรงเรียนนี้ เพราะมีจำนวนนร.พอสมควร ทำให้แบ่งห้องได้หลายระดับ จากที่สอบได้ชั้นต้นก็ได้ไปเรียนห้องต่ำสุด หา!?! สาบานได้ว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นมากว่า 7 ปีก่อนจะไป และเรียนเป็นวิชาโทที่มหาลัยด้วย!!! แล้วทำไมถึงทำข้อสอบไม่ได้? ปัญหาคือเราไม่ได้ทบทวนก่อนมา เลยทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ คันจิลืมหมดจริงๆ (เป็นตย.ที่ไม่ดีนะคะ) ไปเรียนวันแรกเริ่มมินนะเล่ม 1 OMG! คือมันก็ง่ายไปนะ TT ก็เลยไปปรึกษาหัวหน้าครูที่โรงเรียน ครูเขาเข้าใจเพราะอย่างน้อยเราก็สื่อสารกับเค้ารู้เรื่อง เราก็ถามเค้าว่าพอจะเข้าไปเรียนระดับกลางได้มั้ย เค้าบอกว่าจะไปเรียนก็ได้แต่พอดีห้องที่มีอยู่มีแต่เด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของเราตอนนี้อาจจะทำให้เราไม่พัฒนา (อันนี้คิดเอาเอง) เค้าเลยเสนอว่างั้นไปเรียนอีกห้องที่เป็นชั้นต้นแต่เป็นการเริ่มเรียนแบบทวนตั้งแต่แรกแต่จะสปีดเร็วสุดๆ อืม...นี่เราห่วยขนาดสอบเข้าห้องนี้ไม่ได้เลยเหรอ(วะ) คิดในใจ...แง๊ อายอะ แล้วก็ตอบโอเคไป พอเข้าไปเรียนก็รู้สึกว่าโอเคมากๆ เพราะเราเคยเรียนไปแล้วแต่ลืมหมดแล้ว เลยได้ทบทวนอีกที มานั่งคิดทำไมตรูไม่อ่านหนังสือมาให้มากกว่านี้ฟระเนี่ยยย!!! แต่เป็นเพราะตอนนั้นคิดเองง่ายๆว่าไหนๆก็จะมาเรียนแล้วจะต้องมาเรียนก่อนอีกทำไมอะ มาสอบๆไปก็น่าจะทำได้แหละ แต่เผอิ้ญข้อสอบมันเป็นข้อเขียนมิใช่วงกลมนะจ๊ะ...แล้วตัวเองก็ไม่ได้สนใจจะถามหรือหาข้อมูลตรงนี้ก่อนว่าก่อนไปควรเตรียมตัวเรื่องเรียนอย่างไร มัวแต่ไปคิดเรื่องเงินซะเยอะ ดังนั้นคนที่กำลังคิดจะไปเรียนควรจะเรียนให้ตัวเองเข้าใจให้มากที่สุดก่อนไป อย่าเป็นแบบอิชั้นนะเจ้าคะ...T^T

เริ่มเรียนก็ช็อค
ย้อนกลับไปวันแรกที่ได้ไปลองเรียนห้องต่ำสุดที่เริ่มจากมินนะ 1 เซ็นเซ (เอาไว้เรียกคุณครูในภาษาญี่ปุ่น) ได้ขึ้นกระดานเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบมีคันจิเต็มที่แบบที่เกิดมาเพิ่งเคยเห็น O_o และพูดกับเราประหนึ่งว่าเราฟังท่านรู้เรื่องและอ่านคันจิเข้าใจ นี่ขนาดเริ่มแนะนำตัวเองนะ OMG! อีกรอบหลังจากช็อคว่าตัวเองสอบได้ห่วย TT และในห้องจะมีประชากรจีนเยอะสุดรองลงมาเกาหลี แล้วทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจไอ้คันจิที่เซ็นเซเขียนดี เราได้แต่นั่งอึ้งทำตาปริบๆ พยายามจะอ่านแต่พยายามยังไง๊ก็ไม่ได้ ก็มันจะได้ได้ยังไงกันเล่าค่า จีนกับเกาหลีมันใช้คันจิคล้ายญี่ปุ่นมันก็เข้าใจกันสิ (จริงๆคือญี่ปุ่นไปเอาจากจีนมาใช้) ก็ได้แต่ทำหน้างงไปเผื่อเซ็นเซจะได้รู้ว่ากรูอ่านไม่ออกค่า TT 

ชีวิตคือคันจิ
ความยากลำบากของการเรียนคือมันมีสอบทุกวันเลยจ้า แถมเป็นการสอบคันจิแบบโหดมากสำหรับเด็กไทยที่ไม่รู้ที่มาว่ามันมาจากไหน คันจิตัวนึงอ่านได้หลายอย่างอีกแน่ะ ทำไมไม่ทำให้มันง่ายๆค่า ขอกรีดร้อง สิ่งที่เคยได้เรียนมามันเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาจารย์ให้ชีทมา แล้วบอกว่าจะสอบพรุ่งนี้ กรี๊ด คันจิเต็มหน้ากระดาษให้อ่านวันเดียว TT ชีวิตประจำวันคือ เรียนครึ่งวัน อีกครึ่งวันนั่งท่องคันจิจ้า มีอยู่วันนึงจำได้ขึ้นใจอาจารย์อยู่ดีๆก็บอกว่าจะสอบคันจิแบบให้ข้อสอบมาหนึ่งแผ่น นั่งอึ้งอยู่สักพักว่าสิ่งที่เห็นในกระดาษมันจะอ่านว่าอะไร สุดท้ายก็เหลือบไปมองคนจีนที่นั่งข้างๆ มันคงเห็นเรานั่งนิ่งเลยส่งกระดาษให้เราลอก (พอดีเซ็นเซไม่อยู่คุม) ช่างใจดีจริงๆ ถึงเราลืมชื่อนายไปแล้วแต่ยังจำหน้าได้นะเพราะหล่อ อิๆๆๆ แต่ขนาดว่าคนจีนมันก็ยังทำได้ไม่หมดเลย คือมันยากมากนั่นเอง อยากจิร้องไห้กับคันจิมากๆ ทำยังไงให้จำได้ อ่านได้ คือต้องพยายามเขียนทุกวัน พอเจอบ่อยๆเข้ามันจะซึบซับเข้าไปเอง แต่ใช้เวลานานหลายเดือนมากๆ ใครที่จะไปเรียนขอแนะนำให้ทำตัวเป็นมิตรกับคันจิไว้เยอะๆแล้วชีวิตจะสบายขึ้น (มั้ง555)

คำช่วยคืออะไร
ภาษาไทยไม่มีระบบนี้ ภาษาญี่ปุ่นจะมีระบบคำช่วยหรือคำเชื่อมประโยคชี้ให้เห็นว่าคำศัพท์นั้นมีหน้าที่อะไรในประโยค ซึ่งมันค่อนข้างซับซ้อนและยากหากไม่ได้เรียนแบบถูกต้อง ยังไม่ขออธิบายมากเพราะมันจะออกทะเลไปไกล กลับมาเรื่องตัวเองก่อนนะ^^ อย่างที่บอกว่าเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมา 7  ปีก่อนที่จะไปเรียนที่ญี่ปุ่น แต่มันเป็นการเรียนแบบสัปดาห์ละครั้งแล้วก็เรียนๆหยุดๆ ตอนที่เรียนที่มหาลัยก็เป็นการเรียนเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ (เรียนมหาลัยที่ออสเตรเลีย) ทำให้ไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีก เข้าตำราว่ายิ่งเรียนมานานเหมือนรู้แต่จริงๆไม่รู้หรอก ทุกครั้งที่มีสอบจะเอาตัวรอดมาได้ตลอด แต่จะตกส่วนที่ให้เติมคำช่วยประจำ คือสมัยที่เรียนตำราเรียนยังไม่น่าเรียนเหมือนตอนนี้ รูปก็ไม่มี มีแต่ตัวหนังสือ สรุปคือที่เรียนมาคือช่วยให้อ่านออกเขียนได้และรู้คำศัพท์ แต่ไวยกรณ์ก็ง่อยอีกค่ะ ขอสารภาพตรงนี้ว่าถึงแม้ว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้ช่วยให้เข้าใจกระจ่างจริงๆ แต่จะใช้ถูกบ้างเพราะอาศัยเคยชินกับรูปประโยค ใช้คำว่าถูกบ้างเพราะบางทีภาษาพูดจะไม่ใส่คำช่วยเลย แต่เวลาเขียนแบบจริงจังหรืออ่านเนื้อเรื่องเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ แต่ปัญหานี้จะหมดไปได้ เพราะสมัยนี้การสอนพัฒนาไปมาก หนังสือแบบเรียนก็เยอะทำให้หาความรู้ได้ไม่ยากแล้ว ถ้าเราได้ลงเรียนคอร์สจริงๆจังๆที่เมืองไทยป่านนี้คงเก่งกว่านี้มากๆเลย เพราะเอาจริงๆว่ามาเข้าใจคำช่วยก็ตอนจะเป็นครูเพราะต้องสอนคนอื่นนี่แหละ 

หลังจากเงิบไปได้สักสองเดือนถึงเวลาต้องมาสอบวัดระดับที่ดันเงิบไปสมัครไว้ก่อนไป แถมระดับ 2 อีก จะเหลือเหรอคะ คือทำไม่ได้ค่าาาาาา TT ก็ได้แต่ตั้งใจเรียนต่อไป และมานั่งคิดทบทวนดูใหม่ว่ากว่าจะได้สอบอีกทีก็อีก 1 ปี ถ้าเราเรียนแค่ปีเดียวเราจะต้องกลับไปสอบที่ประเทศไทย เพราะต้องกลับประมาณ เดือนกันยายน แบบนี้ไม่น่าจะดี เพราะถ้ากลับไปกว่าจะสอบก็ต้องรออีก 3 เดือน จะลืมมั้ยล่ะเนี่ย ขนาดเรียนมา 7 ปียังไม่ช่วย เห็นทีจะต้องต่อคอร์สไปอีกสักครึ่งปีน่าจะดีกว่า ก็เลยตัดสินใจได้ว่าจะเรียนเป็นปีครึ่ง ทีนี้ก็ต้องวางแผนเรื่องเงินกับที่อยู่กันใหม่อีกสิเนี่ย...



เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย

Thursday 31 July 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย

เอาล่ะ! เมื่อนั่งพิจารณาดูข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทที่ดูแล้วดูอีกดูมันทุกวัน (ข้อมูลก็เดิมๆน่ะแหละ) เข้าไปกดดูเว็ปไซต์ของโรงเรียนเพื่อความชัวร์ว่าใช่ตามที่อยากไปเรียนอีกต่างหาก เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านยังออกไม่มากคันจิจะแยะไปไหน ก็อาศัยดูรูปกับแผนที่ไปก่อนเพิ่มความมั่นใจว่าตัดสินใจไม่พลาด พอมั่นใจแล้วว่าเอาที่นี่แหละ ก็มีสิ่งที่ต้องคิดเพิ่มก็คือ

1. จะไปเรียนกี่ปี
อันนี้ตัวหลักค่าใช่จ่ายเลยเชียว ยิ่งนานยิ่งแพง จะเรียนกี่ปีดี? อืม...พิจารณาจากความสามารถภาษาญี่ปุ่นตัวเองที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยมแบบตะกุกตะกักสัปดาห์ละครั้ง แล้วก็มั่วไปเรียนที่มหาลัยเป็นวิชาโทเพิ่มแบบพอได้ แต่ขอบอกว่าไวยกรณ์เน่าเฟ๊ะ แต่เรื่องพูดกะฟังนี่พอถูไถเลย เพราะมีเพื่อนญี่ปุ่นเยอะและประกอบกับติ่งดารา (แหม๊ได้ใช้คำถูกสมัย) จะได้ไปทางภาษา(มั่ว)พูดซะเยอะ ก็เลยคิดว่า อืมมมม ถ้าสัก 3 เดือน...เอิ่ม..ยังไม่ได้อะไรมั้ง คงแค่ซึบซับบรรยากาศ งั้น 6 เดือน ก็น่าจะโอ แต่เหมือนมันน้อยๆไงไม่รู้ เวลามีคนถามว่าเรียนที่ญี่ปุ่นนานแค่ไหน ตอบเป็นปีดูดีกว่าแยะ งั้นตกลงไป 1 ปี โอเค! 555 บางคนอาจจะคิดว่าอีนี่มันบ้าเปล่าเนี่ย เชื่อถือได้มั้ย เอาจริงๆ คิดแบบนี้จริงๆนะ 555 แต่โดยหลักการ(ที่ใครบอกไม่รู้) เรียนภาษาที่เมืองนอกควรจะมีขั้นต่ำสัก 1 ปี และจากประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและเคยเรียนที่ต่างประเทศ 7 ปี ก่อนตัดสินใจไปเรียนที่ญี่ปุ่น คิดว่าอย่างน้อยต้องมี 1 ปีเหมือนกัน แล้วก็จะได้อยู่ครบทุกฤดูอีกด้วย เหตุผลแบบนี้พอดูโอเคมั้ยคะ ^___^ ต่ออีกนิด บางคนอาจจะคิดว่างั้น 2 ปีไปเลยน่าจะดี จะได้ฝึกเต็มที่ อุแหม่ โคตรจะอยากอยู่นานๆเลยล่ะ แต่ติดตรง "โอคาเนะ" (เงิน)นี่สิ จบข่าว แต่เอาจริงๆพอไปถึงก็ตัดสินใจต่อเป็นปีครึ่ง ไว้ตอนต่อไปมาเล่าอีกทีว่าทำไม :)

2. จะพักที่ไหน
ค่าที่พักที่ญี่ปุ่นถือว่าโหดแสนโหด โดยเฉพาะโตเกียว ค่าเรียนจริงๆยังนับว่าไม่แพงมาก โรงเรียนเอกชนหรืออินเตอร์บ้านเราบางที่ยังแพงกว่าเลย มันจะรอดไม่รอดก็ค่าที่พักนี่แหละ ขอท้าวความนิสนึง จริงๆแล้วมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นก็กะว่าจะไปขออาศัยเค้าอยู่ เพราะบ้านเค้ารับนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว แล้วก็สนิทกันมานาน บังเอิ๊ญค่า อีตอนเราจะไปพี่สาวเพื่อนจะกลับมาอยู่บ้านพอดี ห้องที่ว่างก็เลยไม่ว่างซะแล้ววววว ความฝันแตกสลายที่จะได้ที่อยู่ฟรี ธ่อ...T^T ถ้าไปเที่ยวไปค้างได้ แต่คราวนี้จะอยู่เป็นปีคงไม่สะดวก จะไปรบกวนเค้าเกินไปด้วย ก็เลยต้องตัดใจลองอยู่หอพักของโรงเรียนไปก่อน คือจริงๆไม่ชอบแชร์ห้องกับใครเลย แบบต้องนอนห้องเดียวกัน แล้วโชคดีม๊าก (นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายสินะ) หอที่เลือกจริงๆต้องนอน 2 คน แต่นักเรียนยังไม่มากทางโรงเรียนเลยให้นอนคนเดียวได้ แถมห้องอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเลยจ้า  เย้!!!! โล่งไปหนึ่งเรื่อง

จากนั้นก็ไปจัดแจงขอราคาค่างวด เอ้ย ค่าเล่าเรียนกับค่ากินอยู่จากทางเอเจนท์แบบละเอียดว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ต้องจ่ายเมื่อไหร่ แบ่งจ่ายได้มั้ย ขอแปะลิงค์ของทางเจเอ็ดดูเคชั่นไว้ประกอบเพิ่มซึ่งเค้าได้แจกแจงรายละเอียดไว้อย่างดีเชียว http://www.jeducation.com/THAI/academic/longterm_expense.html

ส่วนของทางโรงเรียนที่เราเลือกไปมีค่าใช่จ่ายดังนี้
โรงเรียน Toyo Language School (หน่วยเงินเยน)
ค่าสมัคร  20,000
ค่าแรกเข้า  100,000
ค่าเล่าเรียน 1 ปี  540,000
อื่นๆ เช่นตำรา กิจกรรม  84,000
รวม  744,000 ( x 0.33 = 245,520 บาท)

ส่วนของค่าที่พัก (หน่วยเงินเยน)
เดือนละ  48,000 x 3 = 144,000
ค่าน้ำไฟแก๊ซ  7,500 x  3 = 22,500
ค่ามัดจำ  30,000
รวม ( 3 เดือน รวมมัดจำ)  196,500 ( x 0.33 = 64,845 บาท)                      
**หากคิดเป็นต่อเดือนจะอยู่ที่  55,500 ( x 0.33 = 18,315 บาท) 
ค่าที่พักและค่าน้ำไฟแก๊ซ จะต้องจ่ายล่วงหน้า 3 เดือนจ้า พวกค่าน้ำไฟแก๊ซใช้ไม่ถึงจะโอนไปใช้เดือนถัดไปได้นะ รวมค่าอินเตอร์เน็ทในหอแล้วด้วยอีกต่างหาก^^ ราคานี้อ้างอิงจากปัจจุบันเลยเพราะจำราคาตอนที่ไปไม่ได้ขอสารภาพจ้า เนื่องจากมันนานมากๆๆๆๆ =='

สรุปที่ต้องจ่ายก่อนไปคือประมาณ 310,365 บาท (ขึ้นอยู่กับเรท ณ วันที่จ่าย) 
จำนวนเงินนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับและค่าใช้จ่ายส่วนตัว

ทีนี้มาถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆต่อเดือนคร่าวๆนอกเหนือจากที่กล่าวมา (หน่วยเงินเยน)
ค่าอาหารต่อวัน
   เช้า 200 (ทานพวกโยเกิร์ตกับขนมปัง)
   กลางวัน 600 (ทานข้าวกล่อง)
   เย็น 800 (ทานร้านอาหารบ้างทำกินเองบ้าง)
   รวม 1,600
   ต่อเดือนประมาณ 48,000
ค่าโทรศัพท์รายเดือน  4,000
ค่าประกันสุขภาพรายเดือน  2,000 (ขึ้นอยู่กับเขตที่อาศัยอยู่)
ค่าอินเตอร์เน็ท  รวมอยู่ในค่าหอและใช้ที่โรงเรียนได้
ค่าเดินทาง  ไม่มีเพราะหออยู่ตรงข้าม หึๆๆ (หัวเราะอย่างผู้มีชัยชนะ)
รวม  54,000 ( x 0.33 = 17,820 บาท)
หากทำกับข้าวทานเองจะถูกลงกว่านี้มาก ตรงนี้แต่ละคนไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าที่เขียนไว้อยู่ได้แบบไม่อดอยากละกันนะ V^__^V

สิ่งที่จำเป็นต้องซื้อเมื่อถึงประเทศญี่ปุ่น (หน่วยเงินเยน)
ผ้านวม,ปลอกหมอน,ผ้าคลุมฟูก  5,000 (ราคาคร่าวๆนะจ้า)
โทรศัพท์มือถือ  0 (เลือกมือถือที่มีโปรฟรีค่าเครื่องจ้า)
อุปกรณ์ทำครัว (หากคิดจะทำ)  1,000 (ร้าน 100 เยน ได้สิบอย่างเลย)
รวม  6,000 ( x 0.33 = 1,980 บาท)
สำหรับผ้านวม,ปลอกหมอน,ผ้าคลุมฟูกใครจะเอาไปจากไทยก็ได้ แต่เราว่าของญี่ปุ่นดีกว่ามากมาย ตอนกลับยังเอากลับมาใช้ที่ไทยด้วย^^ หากใครเอาไปก็จะประหยัดไปได้อีกหน่อย ระวังนิดนึงตรงผ้าคลุมฟูก ที่ใช้คำว่าฟูกเพราะที่โน่นอาจไม่ใช้เตียง เอาไปไซส์อาจจะไม่พอดี ตอนที่ไปทางโรงเรียนจัดฟูกให้ (ของใหม่เลย) อยากเอากลับมาด้วยอีกแล้ว แต่มันหนักเกินเลยอดเลย

สรุปอีกทีแบบจ่ายก่อนไปและอยู่ได้อีก 3 เดือน
ค่าใช้จ่ายก่อนไป  310,365 บาท (รวมค่าเรียน 1 ปีและค่าที่พัก 3 เดือนแรก)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆต่อเดือน  17,820 x 3 เดือน = 53,460 บาท
สิ่งที่จำเป็นต้องซื้อ  1,980 บาท
รวม  365,805 บาท
ราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและค่าวีซ่านะจ๊ะ และให้บวกค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปด้วยตามแต่ต้องการจะใช้เผื่ออยากช้อปปิ้ง555 ห้ามใจยากด้วยประเทศนี้ ออกจากบ้านปุ๊ปโอกาสควักเงินสูงมาก

สำหรับเดือนที่ 4 เป็นต้นไปค่าใช้จ่ายรายเดือนจะอยู่ที่ 36,135 บาท
และอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆหากเราต้องการร่วมกิจกรรม Homestay ต่างจังหวัด จะต้องจ่ายเพิ่มเอง และแน่นอนว่าไปญี่ปุ่นก็ต้องอยากเที่ยว ก็ควรเผื่อเงินไว้สำหรับตรงนั้นด้วย แต่เอาจริงๆตอนที่ไปเรียนแทบไม่ได้เที่ยวไกลๆเลยนอกจากไปกับโรงเรียนเพราะค่าเดินทางแพงมากๆ เป็นนักเรียนไม่สามารถซื้อ japan rail pass ได้เหมือนนักท่องเที่ยว จะเที่ยวทีไม่มีปัญญาเลยตอนนั้น

ท้ายสุดๆ
เอาง่ายๆสุดๆถ้าขี้เกียจคิดคือควรมีอย่างน้อย 400,000 บาท หากคิดจะไปเรียนที่่ญี่ปุ่นและอยู่รอดได้ 3 เดือนแรกแบบไม่ลำบาก ตอนที่เราไปนอกจากเตรียมเงินก่อนไปแล้วยังเผื่อไว้อีก 150,000 บาทเผื่อค่าที่พักได้อีก 3-4 เดือน นอกนั้นกะจะทำงานพิเศษเพื่อมาช่วยค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เหลือจะได้ไม่ต้องรบกวนที่บ้านมากนัก

ขอเพิ่มเติมนิดนึงหากใครสนใจที่จะไปเรียนโรงเรียนโตโยเหมือนกัน ตอนนี้ทางโรงเรียนได้ย้ายไปตึกใหม่ซึ่งหอที่เราได้พูดถึงก็อาจจะไม่มีแล้ว แต่ยังไงก็ยังคงคอนเซ็ปคือไม่ต้องเสียค่าเดินทางนะ ที่พักหากอยู่ในเมืองเดียวกันปั่นจักรยานไปสบายมากๆ สำหรับข้อมูลอัฟเดทลองติดต่อทาง Jeducation ดูได้จ้า

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านกัน ติชมกันได้นะ^^ ตอนต่อไปจะมาเล่าถึงการเรียนที่ญี่ปุ่นและการหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอดในประเทศญี่ปุ่นสำหรับอีก 9 เดือน หรือบางทีอาจจะเป็น 1 ปี 3 เดือน! เอ๊ะยังไง ^____^


Friday 25 July 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน หาโรงเรียน

ปกติแล้วคนมักให้ความสนใจว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะขอทุนยังไงเพราะประเทศนี้เค้าแจกทุกฟรีเป็นว่าเล่น น่าจะรู้จักกันคือทุนมงบุโช (Monbukagakusho หรือย่อว่า MEXT) ชื่อไทยก็คือทุนรัฐบาลญี่ปุ่นนั่นเอง ถือว่าเป็นการให้ทุนเรียนกันฟรีๆ ได้เงินต่อเดือนฟรีๆที่ใช้กินอยู่ได้อย่างสบายๆ บางคนเหลือเก็บอีกต่างหาก อื้อหือ...อะไรมันจะดีขนาดน้าน อยากได้กะเค้ามั่ง แต่มันต้องฟันฝ่าหลายอย่างเหลือเกิน ด่านแรกคือเกรด...จบกัน...น่าจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ T^T แต่เดี๋ยวก่อน เกรดน้อยแต่ถ้ามีสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นมาช่วยก็พอได้ โอเคพอคุยกันได้ แต่ด่านสองคือการกรอกเอกสารอันยาวเหยียด เขียน Study Plan อีก ก็นั่นสิเขาให้ฟรีๆจะมาง่ายๆได้ยังไง โอเค ง่ายๆคือเราขี้เกียจ ก็แค่อยากจะไปเรียนที่ญี่ปุ่นตามความฝันว่า อยากเล่นเกมรู้เรื่อง ฟังดาราโปรดพูดเข้าใจ ไปเที่ยวพูดได้สบายๆ ไปเองก็ได้ฟะ ไม่ง้อหรอกทุนเทิน เชอะ! เป็นเหตุให้เริ่มหาข้อมูลเรียนต่อภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว ซึ่งสมัยนั้นที่แนะแนวเรียนต่อประเทศญีปุ่่นยังน้อยมากๆ (สมัยปี 2005) พอดีมีเพื่อนทำงานที่ Jeducation เลยลองติดต่อหาข้อมูลไปดู ก็มีโรงเรียนให้เลือกอยู่พอสมควร แถมเค้าดำเนินการให้หมด เตรียมเอกสารและจ่ายตังค์อย่างเดียว55 เลยตกลงใจใช้บริการที่นี่ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย (ขอบคุณพี่จูนมานะที่นี้นะคะ^^) หลังจากนั้นก็มานั่งเลือกว่าจะเรียนที่ไหนดี ซึ่งคนที่ไม่รู้เลยอะไรเลยอาจจะเลือกไม่ถูก ขอให้ตั้งเกณฑ์ของตัวเองก่อนเลือกโรงเรียนว่าเราต้องการแบบไหน บางคนอาจจะต้องดูที่ค่าเรียนอันดับแรก บางคนขออยู่ในเมือง บลาๆๆ ซึ่งของตัวเองก็ได้คิดไว้ค่อนข้างเยอะทีเดียว เอามาเล่าสู่กันฟังจ้า

เกณฑ์การเลือกโรงเรียนที่ตั้งไว้

1. ที่พักกับโรงเรียนต้องเดินหรือปั่นจักรยานได้
    ไม่อยากจะเสียเงินค่ารถไฟเพิ่มอีก เนื่องจากไปเงินตัวเองอะไรประหยัดได้ก็ควร

2. อยู่ในโตเกียว แต่ขอชานเมือง แบบคนไม่พลุกพล่าน และเข้าเมืองได้ไม่ยาก
    คืออยากมีอารมณ์แบบวันไหนอยากเข้าไปชินจูกุ ชิบุย่าก็ไปได้ไม่ยาก ชีวิตปกติขอแบบเงียบสงบ

3. มีนักเรียนไทยไม่เยอะ
    ขืนเยอะคนมิวายคุยภาษาไทย แทนที่จะได้คุยญี่ปุ่นเยอะๆ ลองชั่งน้ำหนักดูระหว่างจำนวนนักเรียนทั้ง
    โรงเรียนกับจำนวนนักเรียนไทย ตั้งเป้าไว้ว่าขอแค่ 5 % ของทั้งหมด

4. โรงเรียนมีจัดทริปไป Homestay ต่างจังหวัด
    อยากลองไปอยู่กับครอบครัวญี่ปุ่นหลายๆแบบ ส่วนตัวมีเพื่อนคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว และเคยไป homestay
    สมัยเรียนมหาวิทยาลัย รู้สึกว่าได้ฝึกภาษาดีมากๆ แถมได้ลองอาหารญี่ปุ่นแบบ homemade อีกด้วย

5. ต้องมีจำนวนนักเรียนเยอะพอสมควรและไม่มากจนเกินไป
    ถ้าโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนน้อยกว่าร้อยคน การแบ่งห้องเรียนจะทำได้ไม่เต็มที่เพราะคนน้อย เช่น
    โรงเรียน ABC มีนักเรียนราว 70 คน มีห้องเรียน 5 ห้อง ดังนี้
       ห้อง 1 เริ่มต้นตั้งแต่แรก
       ห้อง 2 เริ่มต้นระดับกลาง
       ห้อง 3 ติวสอบ N2
       ห้อง 4 ติวสอบ N1
       ห้อง 5 ติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
   หากเราเรียนมินนะจบเล่มสาม ก็จะมี 2 ทางเลือกคือ ห้อง 1 หรือ ห้อง 2 หากเราเลือกเรียนห้องเริ่มต้น
   เราอาจจะเสียเวลา และหากเราเลือกที่จะเรียนห้องระดับกลาง เราก็อาจจะมึนงงได้ ตรงนี้บางคนอาจ
   จะมองข้ามไป แต่เราคิดเยอะเพราะจ่ายเงินไปเองจะให้เสียเวลาเรียนแล้วได้น้อยหรือได้ไม่เต็มที่มันก็
   จะเป็นการเสียเงินและเวลาโดยใช่เหตุ ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลนี้ควรเอามาคิดต่อเมื่อเราเรียนอยู่ในขั้นที่ไม่
   จบชั้นต้นดี หรือเรียนมานานมากๆจนไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ระดับไหน ถ้าเราไม่ได้แน่ใจว่าจะอยากเริ่มชั้น
   ต้นใหม่ก็ต้องไปลุ้นว่าเค้ามีห้องที่เรียนถึงไหนกันแล้วบ้าง ก่อนไปอาจต้องสอบถามกับทางโรงเรียนดู
   ก่อนจ้า

6. ต้องมีนักเรียนจากหลากหลายชาติ
   ไปเรียนทั้งทีก็อยากได้เพื่อนหลายๆชาติเผื่อไปเที่ยวประเทศนั้นๆจะได้มีคนพาเที่ยว 
    ความคิดแอบแฝง55

ดังเหตุผลที่กล่าวมาเยอะแยะก็เลือกโรงเรียนได้ซะทีคือ โรงเรียน Toyo Language School ที่สถานี Nishi Kasai อยู่ในชานเมืองโตเกียวแต่เข้าเมืองไม่ยากเลย หอพักหญิงอยู่ตรงข้ามโรงเรียนจ้า เดิน 2 นาที นักเรียนไทยโอเคไม่มาก รอบที่ไปมี 5 คน ถือว่าเป็นประชากรส่วนน้อยสุดๆ มีทริปไป homestay ตอนที่เรียนได้ไป hokkaido มีครบคุณสมบัติที่กล่าวไว้ เลยไม่ต้องลังเลเลยเอาที่นี่แหละ^^

หากใครมีแผนไปเรียนด้วยตัวเองก็ลองพิจารณาเหตุผลของตัวเองก่อนว่าอยากให้มีอะไรบ้างแล้วค่อยมาดูว่าโรงเรียนไหนใกล้เคียงที่เราต้องการสุดจ้า เรื่องการเรียนการสอนส่วนตัวคิดว่าไม่ต่างกันมากนักหากเป็นโรงเรียนสอนภาษามักจะเข้มข้นอยู่แล้ว คราวหน้ามาต่อเรื่องการการเงินกัน^^



Sunday 22 June 2014

ฟังเพลงญี่ปุ่นกันเถอะ!

นักร้องที่ชอบ


Smap
Nishino Kana
Nakashima Mika
AKB48
Arashi
Greeeeen
Exile
e-girl

Friday 13 June 2014

กว่าจะใช้ภาษาญี่ปุ่นได้จนถึงวันนี้

กว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นจนเอามาใช้ประกอบอาชีพได้ในวันนี้ผ่านมา18ปีแล้ว (กรุณาอย่านับอายุ)
จำได้ว่าเริ่มเรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นตั้งแต่ม.ต้น เรียนแบบก๊อกๆแก๊กๆรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่ง จนมาทำอาชีพครูได้จนถึงวันนี้ ไม่ได้จบเอกญี่ปุ่นแต่อย่างใดแต่ใจรักทำให้เรียนเรื่อยมา สรุปการเรียนของตัวเองดังนี้

ม.ต้น เรียนสัปดาห์ละครั้งที่ สนญ. (สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์)

ม.ปลาย สมัยนั้นไม่มีศิลป์ญี่ปุ่น ก็เรียนฝรั่งเศสแทน แต่ก็ยังคงเรียนพิเศษภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง แบบเรียนๆหยุดๆเพราะเล่นวงโยฯ เลยไม่ค่อยมีเวลาเรียน

แลกเปลี่ยนม.ปลายที่ออสเตรเลีย นี่คือจุดเปลี่ยนชีวิตเพราะในโรงเรียนที่ไปแลกเปลี่ยนมีนร.จากญี่ปุ่นมาด้วย เสร็จตรูสิ ตีซี้เป็นเพื่อนสนิทเลยได้ฝึกภาษาญี่ปุ่นง่อกๆแง่กๆมาปีนึง และได้ลงเรียนวิชาภาษาญี่ปุ่นในโรงเรียนด้วย (เรียนเป็นภาษาอังกฤษ งงหนัก)

มหาวิทยาลัยตรีและโทที่ออสเตรเลีย ยังไม่กล้าเรียนเอกญี่ปุ่น เพราะสมัยนั้นอาชีพที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นยังไม่ชัดเจนเหมือนปัจจุบัน ประกอบกับความไม่มั่นใจ ก็เลยเลือกเรียนเอก Computing เอาว่าจบมาไงก็หางานได้แน่ และเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นวิชาโทไปแทน ตอนปี 2 มีโครงการแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยกับทางจังหวัดคานาซาวะให้นักเรียนไปเรียนที่ญี่ปุ่น 2 เดือนและจะได้เครดิตหนึ่งเทอม ก็มั่วๆผ่านการคัดเลือกกะเค้าไปได้ โชคดีได้ไปโฮมสเตย์และเรียนภาษาญี่ปุ่นไปด้วย ได้ทักษะพูดและฟังจากตรงนี้เพิ่มเพียบ

เรียนภาษาหนึ่งปีครึ่งที่ญี่ปุ่น ตัดสินใจไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ทุนเทินไม่ต้องพูดถึง เรียนไม่เก่งพอ เงินตัวเอง+เงินพ่อแม่นี่แหละ 555 เรียนจบโททำงานได้สักพักรู้สึกว่าชีวิตมันขาดๆ อยากพูดญี่ปุ่นให้เก่งๆ ไปเที่ยวแบบไม่ต้องให้เพื่อนคอยแปลให้ ก็เลยหาข้อมูลไปเรียนต่อ ที่เลือกโรงเรียนสอนภาษาเพราะอยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว เอาแบบเน้นๆ โทก็จบแล้วไม่อยากเรียนวิชาการละ ได้ไปเรียนก็สมใจ จบคอร์สปีครึ่งได้ระดับ 2 จริงๆกะว่าจะสอบ ระดับ 1 แต่เป็นคนขี้เกียจท่องคันจิมาก และคิดว่า ระดับ 1 มันไม่ได้บอกว่าเราพูดเก่ง เพราะฉะนั้นเอาที่เซฟๆสอบสบายๆดีกว่า จริงๆก็แอบเสียดายนิดหน่อยว่าถ้าฮึดสักนิดก็คงได้ พอหลุดการเรียนมาปุ๊ปที่นี่จะขุดตัวเองไปอ่านอีกก็ยากละ

ทำไมถึงเรียนภาษาญี่ปุ่น?
สาเหตุคือบ้าเกมส์ Final Fantasy และลามมาถึงนักร้องวง SMAP ต้องขอบคุณสองสิ่งนี้จริงๆที่ทำให้มีกินมีใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ อิๆๆ ใครว่าชอบการ์ตูน เกมส์ หรือบ้าดาราจะเอามาเป็นอาชีพไม่ได้ เถียงสุดใจฮ่ะ ทุกอย่างเป็นไปได้หากเราเรียนรู้อย่างจริงจัง ย้ำว่าต้องจริงจัง ไม่ใช่นั่งกรี๊ดกร๊าดเวิ่นเว้ออย่างเดียว ชอบดาราอยากรู้ว่าดาราพูดว่าอะไร ชั้นจะต้องฟังออกให้ได้ ยังจำวันที่นั่งดูรายการ SMAPXSMAP (เป็นรายการทำอาหาร+วาไรตี้ ของวง SMAP) แล้วรู้เรื่องหมดได้เป็นครั้งแรก (เฉพาะรายการช่วงนั้น) มันตื่นเต้นดีใจประหนึ่งตรูทำสำเร็จแล้ววววววว้อย ในที่สุดก็ฟังออก อยากจะกระโดดกอดที่วี 555 และวันที่เล่นเกมส์ Final Fantasy เวอร์ชั่นญี่ปุ่นแบบแทบไม่ต้องเปิดดิก (คืออ่อนคันจิยังไงก็ต้องเปิดบ้างอะน่ะ) มันรู้สึกโคตรๆภูมิใจ

ถามว่ากว่าจะทำแบบนั้นได้ต้องเรียนกี่ปีเหรอ? แต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและความขวนขวาย ส่วนตัวสำหรับการฟังใช้เวลาไม่นานเท่าเล่นเกมส์นะ ด้วยความที่โชคดีไปตีซี้กับเพื่อนญี่ปุ่นสำเร็จเลยมีโอกาสได้อยู่ในแวดวงที่มีเจแปนนีสเป็นซาว์ดแทรกบ่อยๆ และดูรายการญี่ปุ่นเป็นประจำ หูเลยชิน ถึงแปลได้ไม่หมดก็พอจะรู้แหละว่าพูดถึงอะไร ถ้าไม่นับที่เคยเรียนมาตั้งแต่ม.ต้น (ซึ่งมันช่วยแค่การอ่านออกเขียนได้ ไวยากรณ์ไม่เคยรู้เรื่อง) ก็ประมาณ 3 ปี แต่ยังพูดไม่ค่อยได้เลยทำให้ตัดสินใจไปเรียนที่ญี่ปุ่น เรียนสักหนึ่งปีก็พอจะเล่นเกมส์แนว RPG ได้ไม่ลำบากต้องมาหาคู่มือละ

ภาคต่อไปไว้มาเล่าต่อว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นแล้วได้อะไรมาบ้างจ้า ^__^

เกมส์ในดวงใจ ^___^
Smap นักร้องสุดเลิฟ 
อ่านเรื่องอื่นๆ
เรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างไรให้เป็นเร็ว
รับงานล่ามเฉพาะกิจ
เปรียบเทียบราคาและคอร์สเรียนภาษาญีปุ่นของโรงเรียนต่างๆ
เรียนภาษาญี่ปุ่นเพื่ออะไร

Monday 7 April 2014

มารยาทในการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

ตั้งแต่คนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นก็มีคนแห่แหนกันไปเที่ยวจนร้านบางร้านหรือสถานที่บางที่ต้องมีป้ายภาษาไทยกำกับหรือประกาศกันเป็นภาษาไทยกันเลยทีเดียว ควรจะดีใจมั้ยไม่แน่ใจ เพราะอะไรที่มันมากเกินไปมักจะส่งผลไม่ดีเสมอ และได้เห็นได้ยินทั้งจากเพื่อนๆที่อยู่ญี่ปุ่นและคนที่ไปเที่ยวว่าทัวร์ไทยได้ทำพิษเข้าแล้ว เลยอยากจะบอกถึงมารยาทหลักๆที่ควรทำเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นกัน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการก็ดี คิดว่าเราเป็นคนต่างชาติทำอะไรไปไม่มีใครรู้ พูดเสียงดังไปไม่มีใครเข้าใจ แต่เชื่อเถอะว่าตอนนี้คนไทยได้เป็นหนึ่งในชาวต่างชาติที่คนญี่ปุ่นรู้จักกันมากขึ้นแล้ว ทำอะไรไปเค้าจะเหมารวมทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นเรามาร่วมด้วยช่วยกัน อย่าให้เค้ามองชาติเราไม่ดี เหมือนเรามองทัวร์จีนที่มาเที่ยวบ้านเรากันเลยนะคะ


มารยาทในการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

1. ขึ้นรถไฟรถเมล์ห้ามคุยโทรศัพท์ ไม่ควรรับประทานอาหาร ไม่ส่งเสียงดัง ไม่นั่งแต่งหน้า ไม่ควรนั่งตรงที่สำหรับคนเจ็บคนชราและคนท้อง
การขึ้นรถโดยสารต่างๆที่ญี่ปุ่นก็จะคล้ายๆกับประเทศไทยแต่จะมาต่างก็ตรงที่ความมีระเบียบในการขึ้นที่ญี่ปุ่นมีมากกว่า ที่ห้ามกันชัดเจนและไม่ควรทำอย่างแรงคือการคุยโทรศัพท์ ควรปรับโหมดโทรศัพท์ให้เป็นระบบสั่น หากใครลืมปิดมีเสียงดังขึ้นมาก็จะถูกเป็นเป้าสายตา และอาจถูกเตือนจากเจ้าหน้าที่ได้ แถมอีกหน่อยกับการลุกให้นั่ง หากใครเคยขึ้นรถไฟที่ญี่ปุ่นจะสังเกตุได้ว่าผู้ชายอกสามซอกจะแย่งที่นั่งอย่างรวดเร็วและนั่งกันสลอน ไม่สนใจว่าผู้หญิงจะแบกของหนักหรือเด็กประถมจะยืนอยู่ตรงหน้า ก็อย่าได้แปลกใจไปเพราะประเทศนี้ผู้ชายเป็นใหญ่(ถึงสมัยนี้จะดีขึ้นมากแล้ว)เค้าว่าผู้ชายทำงานหนักให้เค้านั่งก็ไม่แปลกอะไร(งานบ้านกับเลี้ยงลูกก็เหนื่อยนะคะ) อีกอย่างนึงก็คือหากเห็นเด็กๆขึ้นรถไฟมา ไม่จำเป็นต้องลุกให้นั่งเพราะเด็กประเทศนี้ดูแลตัวเองได้ดีมาก (คือมันหยิ่ง) ลุกให้เค้าจะไม่นั่งเอา เคยเห็นคนเสียฟอร์มมาแล้ว ลุกแล้วก็ต้องลุกเลย เด็กไม่ยอมนั่ง ผู้ชายข้างๆนั่งแทนซะงั้น555 ส่วนที่นั่งสำหรับคนเจ็บคนชราและคนท้องนั้นจริงๆสามารถนั่งได้(เพราะญี่ปุ่นก็นั่ง)แต่หากมีคนที่มีลักษณะดังป้ายตรงที่นั่งก็ควรลุกทันที มารยาทอื่นๆที่ควรระวังก็คืออย่าเพิ่งรีบออกตัวล่วงหน้าก่อนที่จะถึงสถานี ไม่ต้องกลัวว่าไม่ได้ลง เพราะที่ญี่ปุ่นเค้ามีมารยาทในการหลบให้คนออก แหมนึกแล้วก็อย่าให้บ้านเราเป็นได้อย่างเค้าเร็วๆ

2. ขึ้นลงบันไดเลื่อนให้ยืนชิดฝั่งเดียว (คันโตชิดซ้าย คันไซชิดขวา)
ฝั่งคันโต คือฝั่งทางด้านโตเกียวจะยืนชิดซ้าย ส่วนฝั่งคันไซ คือฝั่งด้าน โอซาก้า จะยืนชิดขวา
หากไม่หลบอาจมีเสียงเตือนจากด้านหลังแบบแข็งๆได้ว่า  すみません(สึมิมาเซ็ง) กูเซ็งที่มรึงไม่หลบนะ 555 ล้อเล่น แปลว่า ขอโทษนะ
จริงๆแล้วการยืนชิดด้านไหนนั้นมีที่มา คือโตเกียวสมัยก่อนเป็นเมืองที่มีซามูไรอยู่เยอะ ซามูไรมักเดินชิดซ้ายเพื่อให้ชักดาบได้สะดวก ส่วนโอซาก้าคือเมืองของพ่อค้า มักมีของมีค่าที่กระเป๋าด้านขวาจึงเดินชิดขวาเพื่อรักษาของมีค่าไว้ไม่ให้โดยขโมย (ขอบคุณข้อมูลจากกูเกิ้ล)

3. การแช่ออนเซ็นส่วนใหญ่ต้องถอดหมด และห้ามคนมีรอยสักลงแช่
ที่ว่าต้องถอดหมดส่วนใหญ่เพราะเริ่มมีบางที่ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะและเป็นบ่อที่อยู่ทามกลางธรรมชาติ จึงอาจอนุญาตให้พันผ้าขนหนูผืนใหญ่ได้ แต่โดยรวมแล้วยังต้องถอดเสื้อผ้าหมด อนุญาตให้เอาผ้าขนหนูผืนเล็กเข้าไปได้เท่านั้น ส่วนคนที่มีรอยสัก หากเล็กๆอาจจะพอซ่อนได้ แต่หากใหญ่มากๆอาจจะโดนเชิญออกเอาได้ ที่มีข้อห้ามเพราะคนที่สักที่ญี่ปุ่นจะเป็นพวกยากูซ่าซึ่งถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลซึ่งจะทำให้คนอื่นกลัวและไม่กล้าเข้าไปใช้บริการ สำหรับคนที่มีรอยสักและอยากแช่บ่อน้ำร้อนแนะนำให้เช่าห้องแบบที่มีบ่อส่วนตัวในห้อง ถ้าแบบนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน

4. การถ่ายรูปร้านค้าต่างๆควรขออนุญาตทางร้านก่อน
จริงๆจะถือว่าห้ามมั้ยก็ไม่เชิง แต่การไปยืนจ่อกล้องในร้านอาจจะโดนเตือนจากเจ้าของร้านเอาได้ หากอยากถ่ายเพื่อนำไปเผื่อแพร่ควรขออนุญาตก่อน รวมไปถึงการถ่ายภาพบุคคล เช่นเห็นเด็กๆน่ารักอยากถ่ายรูป ก็ควรขออนุญาตผู้ปกครองเค้าก่อน 

5. แยกขยะก่อนทิ้ง
ถือว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศสุดยอดการแยกขยะเลยก็ว่าได้ บางที่แยกทั้งเศษอาหาร กระดาษ พลาสติก ขวดแก้ว กระป๋อง สารพัด หากเราเจอถังขยะที่ระบุให้แยกขยะก็ช่วยกันทำตามด้วยนะคะ เค้าจะไม่มาว่าได้ว่าประเทศเราแยกขยะกันไม่เป็น ตอนทิ้งไม่มีใครรู้ แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจตัวเองนะคะ

6. ไม่ควรเดินไปกินไป
หากลองสังเกตุดูดีๆ คนญี่ปุ่นจะไม่เดินไปกินไป อาจเป็นเพราะประเทศเค้าไม่มีร้านค้าแบบรถเข็นแบบบ้านเรา จะมีอย่างมากก็ลุงขายมันเผา ซึ่งคนญี่ปุ่นเมื่อซื้อของกินตามร้านข้างทางก็จะหาที่นั่งหรือยืนรัปทานให้เสร็จตรงนั้นเลยค่ะ หากเราไปซื้อของทานข้างทางก็ทานให้เสร็จเลยแล้วค่อยเดินทางต่อกันดีกว่านะคะ เวลาทานเสร็จจะทิ้งก็ง่ายเพราะอยู่ตรงร้านอยู่แล้ว หาถังขยะตามข้างทางที่ญี่ปุ่นนี่ก็ไม่ง่ายนะคะ รวมถึงการเดินไปสูบบุหรี่ก็ไม่ควรเพราะถือเป็นการรบกวนคนอื่น

7. ควรต่อแถวซื้อของอย่าแซงคิว
นี่ก็เป็นวัฒนธรรมอย่างนึงที่ขอซูฮกให้ประเทศนี้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็เข้าคิวทุกอย่าง เข้าห้องน้ำยังเข้าคิวเป็นระเบียบ แถมยังมีความอดทนสูงมาก รอนานแค่ไหนก็รอ สมัยเรียนที่ญี่ปุ่นเคยทำงานพิเศษร้านอาหาร มีอยู่วันนึงคนแน่นมากลูกค้าถามรอนานแค่ไหนเราบอก 30 นาที เค้าบอกว่าโอเคก็ไม่นานนะ (แต่คือตรูเหนื่อยแล้วไงยังจะมาต่อคิวกินอะไรกันนักหนา คิดในใจอะนะ) เป็นเราคงเปลี่ยนไปกินร้านอื่นแล้ว ขี้เกียจรอ อีกอย่างที่ไม่ควรทำคือการแซงคิว ถือเป็นการเสียมารยาทมากๆอย่าทำเลยนะคะ เห็นใจคนอื่นที่เค้าต้องเข้าคิวกัน เราไปลัดคิวมันทุเรศค่ะบอกตรงๆ

8. ที่ญี่ปุ่นไม่มีการต่อราคาสินค้า
บ้านเราต่อกันจนชิน อาจจะชินว่าซื้อแล้วขอต่อหน่อยเถอะ หรือซื้อเยอะแถมได้มั้ย คือประเทศญี่ปุ่นไม่มีธรรมเนียมการต่อรองราคาเลยค่ะ ถ้าไปช้อปก็อย่าเผลอไปต่อเค้าเลยนะคะ ยิ่งเป็นต่างจังหวัดไปต่อเผลอๆคุณป้าอาจจะทำหน้างงๆได้ว่าเราต้องการอะไร ยกเว้นในบางพื้นที่ ที่อาจต่อได้บ้างเพราะชาวต่างชาติเยอะเช่น Akihabara หรือ Ueno 

9. ไม่จำเป็นต้องทิปพนักงาน
ที่ญี่ปุ่นมักจะรวมค่าบริการ (service charge) เข้าไปอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องทิปเพิ่มค่ะ ให้ไปเผลอๆจะได้คืนมาเอาด้วยนะ

10. เข้าร้านอาหารไม่ควรเรียกบริกรมาเช็คบิล ให้นำบิลไปจ่ายที่แคชเชียร์เมื่อทานเสร็จ
หากไม่ใช่ร้านที่ต้องจ่ายก่อน เวลาบริกรมาเสริฟ์อาหารเสร็จแล้วเค้าจะเอาบิลมาวางให้ที่โต๊ะ หรือให้สังเกตุดูจะมีห้อยอยู่บริเวณโต๊ะที่เรานั่งสักจุด ให้เรานำบิลนั้นไปจ่ายที่เคาเตอร์จ่ายเงินได้เลยค่ะ หากไปเรียกเค้ามาเก็บตังค์เค้าก็จะชี้บอกให้เราไปจ่ายที่แคชเชียร์อยู่ดีค่ะ

Friday 28 March 2014

จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม

ตั๋วเครื่องบิน

ขอเริ่มจากค่าตั๋วเครื่องบินก่อน เพราะตรงนี้เป็นงบหลักของการไปเที่ยวเลย จะถูกไม่ถูกอยู่ที่ราคาตั๋ว
จะหาตั๋วถูกได้จากไหน คิดว่าคงมีคนรีวิวไว้เยอะแยะมากมาย ขอบอกแค่ที่ตัวเองถนัดซึ่งใครจะใช้วิธีไหนตามแต่สะดวกจ้า

1. ไปแบบไฮโซ เพราะชั้นขี้เกียจรอต่อเครื่อง

ถ้าใครขี้เกียจต่อเครื่องและพอจ่ายได้ในระดับ 18,000 บาทขึ้นไป แนะนำให้ลองดูสายการบิน
ANA, Thai Airway, Delta Airline, JAL, Singapore Airline
สายการบินพวกนี้ดูไฮโซ แต่เดี๋ยวก่อน บางทีเค้าก็มีจัดโปรเก๋ๆที่คุณสามารถจองเองได้จากเว็ปเค้าเลยเท่านั้นด้วย ที่เราใช้บ่อยๆคือ ANA (พอดีสะสมไมล์อยู่ด้วย) ซึ่งดูเหมือนแพงนะ แต่บางทีเค้าจะมีช่วงลดราคาลองเข้าไปดูในเว็ป ANA

จากภาพเป็นช่วงเดือนพฤษภาคม 2014 ที่เค้าจะให้ราคาต่อเที่ยว 12,000 บาท รวมไปกลับราคา 23,040 บาท เท่านั้น ซึ่งถือว่าโอเคมากๆๆๆสำหรับสายการบินระดับท้อปๆ สัญชาติญี่ปุ่นแท้ แถมบินแค่ 5 
ชั่วโมงกว่าๆด้วย ที่สำคัญเวลาดีมากๆเมื่อเทียบกับสายการบิน Low cost หากไม่อยากเสียเวลาทั้งวันในการเดินทาง

สำหรับสายการบินที่คนส่วนใหญ่นิยมซื้อจากเว็ปโดยตรงก็คือ  Delta Airline อันนี้ประสบการณ์ตรง
กดดูราคาเห็นตั๋ว 19,000 บาท จากนั้นผ่านไปสิบกว่านาทีมันหายไปแล้ว หากซื้อกับเว็ปโดยตรงต้อง
อาศัยช่วงชิงจังหวะเป็นอย่างมาก หากชัวร์ว่าไปแน่รีบจองเนิ่นๆ

ส่วน JAL และ Singapore Airline ก็จะมีโปรโมชั่นเป็นระยะๆ บางครั้งมีจำกัดว่าต้องซื้อ 2 ใบจะได้ราคาที่ถูก

สำหรับการบินไทย รักคุณเท่าฟ้า ซึ่งราคาตั๋วจัดว่าแพงแสนแพง แต่หากเราติดตามข่าว บางครั้งก็จะมีโปรโมชั่นดีๆ ทั้งจากทางเว็ปของการบินไทยเอง และจากงานไทยเที่ยวไทย เช่น

2. ไม่หวั่นต่อเครื่อง ชั้นรอได้ ขอถูกๆ

หากใครมีงบจำกัดอาจจะต้องยอมเสียเวลาการเดินทางกันสักนิดเพื่อประหยัด แต่มาคิดดูดีๆหากเราเลือกเมืองที่จะไปต่อเครื่องดีๆเราอาจได้ช้อปปิ้งที่สนามบินนั้นเพิ่มด้วยนะ อิๆ เช่น บิน Cathay Pacific  ก็จะได้แวะช้อปฮ่องกง แหมดูหรูเริศดีจริงเชียว ซึ่งสายการบินที่คนนิยมซื้อมีดังนี้

           Cathay Pacific  แวะ ฮ่องกง
           Air Macau   แวะ มาเก๊า
           Korean Air   แวะ โซล
           Air China    แวะ ปักกิ่ง
           China Eastern Airlines แวะ เซียงไฮ้
           Air Asia   แวะ กัวลาลัมเปอร์
           Jet Star   บินตรงฟุกุโอกะ ถ้าจะไปโตเกียวก็ต้องแวะฟุกุโอกะก่อน

จองตั๋วเครื่องบินที่ไหน

1. จองกับบริษัทขายตั๋ว หรือที่เรียกว่า travel agency หากมีที่รู้จักดีๆก็สะดวกดีเพราะเราไม่ต้องจ่ายเงินทันที ต่างกับซื้อจากเว็ปเองที่ต้องตัดเงินบัตรทันที ปกติไม่ค่อยได้ใช้ แต่เอาที่มั่นใจก็ h.i.s

2. จองกับเว็ปตัวแทนต่างๆ ที่เป็นที่รู้จักก็คือ
     Expedia
     Krungthep Metro Travel
     Cheap tickets
     bkk fly
     bkk flight

ข้อดีคือ เราสามารถเช็คราคาและเปรียบเทียบได้ทันที ไม่ต้องรอติดต่อกลับจากบริษัท พอใจก็กดซื้อได้
ข้อเสียคือ หากเราต้องการเปลี่ยนตั๋วเราจะต้องโทรไปที่ call center ของเว็ปนั้นซึ่งบางเว็ปได้ข่าวมาว่าติดต่อยากมากๆ หรือบางทีมีโอกาสผิดพลาดในการออกตั๋ว หากเราอ่านข้อเสนอตอนซื้อไม่ละเอียด ส่วนตัวเคยซื้อกับ kmt (Krungthep Metro Travel ) ที่เดียวซึ่งที่นี่โทรติดต่อไม่ยาก เคยดูตั๋วผิดวัน ทางบริษัทก็มีโทรมาเช็คด้วย ถือว่าบริการดีทีเดียว

3. จองกับเว็ปสายการบินโดยตรง
     Air Asia
     ANA
     Thai Airways
     Delta Airline 
     Singapore Airlines
     Japan Airlines
ข้อดีคือ  ปลอดภัย ได้ตั๋วร้อยเปอร์เซ็น
ข้อเสียคือ  ถ้าซื้อแบบไม่มีโปรโมชั่นใดๆจะแพง ดังนั้นควรซื้อตอนมีโปรเท่านั้น

โรงแรม

การจองโรงแรมนั้นวิธีง่ายที่สุดคือจองจากเว็ปตัวแทน ซึ่งที่นิยมกันมีดังนี้
Expedia
Booking.com
Agoda
Jalan.net
Hostelworld

คำแนะนำ ควรเช็คราคาหลายๆเว็ปเพื่อเปรียบเทียบราคา และควรเข้าไปดูในเว็ปของโรงแรมโดยตรง เพราะบางทีอาจได้ราคาที่ดีกว่า หรืออาจมีห้องว่างมากกว่าซื้อจากเว็ปตัวแทน

ข้อควรระวัง ควรตรวจสอบดีๆว่าทางเว็ปจะไม่ตัดเงินจนกว่าจะใกล้วันเดินทาง ส่วนใหญ่จะตัดเงินหนึ่งสัปดาห์ก่อนเดินทาง ส่วนตัวที่ใช้บ่อยที่สุดคือ booking.com  และบางครั้งในเว็ปตัวแทนอาจรวมราคาอาหารเช้ามาให้ ซึ่งหากเราไม่ต้องการให้เลือกแบบไม่มีอาหารเช้าราคาอาจถูกลง และเพื่อความมั่นใจให้เราส่งอีเมลล์ยืนยันกับทางโรงแรมโดยตรงอีกที

เรียวกัง (Ryokan = ห้องพักแบบญี่ปุ่น)


การจองเรียวกัง บางครั้งจากเว็ปตัวแทนจะแพงเอามากๆ ให้ลองเข้าไปดูที่เว็ปโรงแรมโดยตรงดูก่อน หากเป็นเรียวกังที่มีชื่อเสียงมีชาวต่างชาติไปพักเยอะ เว็ปไซส์มักจะมีภาษาอังกฤษ แต่หากเป็นเรียวกังที่ยังไม่มีชาวต่างชาติไปมากนักก็จะไม่มีภาษาอังกฤษ อาจจะต้องอาศัยเพื่อนหรือคนรู้จักช่วยจองให้ก่อน การจองโรงแรมกับทางญี่ปุ่นโดยตรงส่วนใหญ่ไม่ต้องมัดจำก่อน แต่หากเราเกิดเปลี่ยนแผนไปตามที่จองไม่ได้ ควรจะต้องแจ้งกับทางโรงแรม อย่าไปคิดว่าไม่เป็นไรเพราะไม่ได้จ่ายเงิน ไม่อย่างนั้นจะเสียชื่อประเทศไทยได้ และเมื่อมีคนทำบ่อยๆเข้าก็จะทำให้การจอง(ที่มันยากอยู่แล้ว)ยากขึ้นไปอีก

ข้อดีของการจองโดยตรงคือ สามารถเลือก package ต่างๆได้ ซึ่งหากจองจากเว็ปตัวแทนจะเลือกอะไรมากไม่ได้นัก ส่วนใหญ่เรียวกังที่ญี่ปุ่นจะมีโปรการจองให้เลือกมากมาย เช่น จองห้องแถมสปาและอาหารเช้าเย็น เป็นต้น
ข้อเสียคือหากไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นจะลำบากในการจอง

อ่านเรื่องอื่นๆ
งบประมาณในการเที่ยวญี่ปุ่น
ไปญี่ปุ่นจะเที่ยวเองหรือไปกับทัวร์ดีนะ
มารยาทในการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น





Friday 28 February 2014

งบประมาณในการไปเที่ยวญี่ปุ่น

พูดถึงงบประมาณสำหรับการไปเที่ยวนี่ยากมาก เพราะแต่ละคนอยากเที่ยวไม่เหมือนกัน มีงบไม่เท่ากัน ถ้าไปกันหลายคนกว่าจะจัดทริปกันจบอาจมีเรื่องกันก่อนไปได้ แต่ถ้าใครไปคนเดียวได้ก็จะง่ายและจัดการได้เร็วเพราะไม่ต้องมาช่วยกันตัดสินใจว่าจะพักที่ไหนดี ว่างตรงกันวันไหน เที่ยวเมืองไหนบ้าง บอกเลยวุ่นวายมาก ยิ่งพาคนอื่นเที่ยวยิ่งเหนื่อย ถ้าใครพูดญี่ปุ่นได้ก็จะถูกฝากความหวังไว้ (หรือบางทีโยนทุกอย่างให้ตรูทำนั่นเอง) เพราะฉะนั้นเราถึงชอบไปคนเดียวบ่อยๆ ว่างเมื่อไหร่ก็ไป อยากไปไหนก็ไป อยากกินอะไรก็กิน มันเสียอย่างเดียวคือไม่มีคนถ่ายรูปให้ แต่แก้ปัญหาด้วยการหัดตั้งกล้องถ่ายเอง ซึ่งมันก็สนุกและเพลินดีนะ^^

สิ่งที่ต้องคิดก่อนที่จะคำนวนงบประมาณคือ

ไปกี่คน การไปคนเดียวข้อเสียคือไม่มีคนช่วยหารค่าห้อง ยกเว้นว่าจะพักแบบ guest house หรือ youth hotel ซึ่งพักรวมกับคนอื่นๆได้
ไปกี่วัน จำนวนวันยิ่งมากก็ยิ่งต้องจ่ายค่าที่พักมากขึ้น
ไปเมืองไหนบ้าง ประเทศญี่ปุ่นมีข้อดีมากๆสำหรับนักท่องเที่ยวคือจะมีตั๋วเดินทางสำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่เรียนว่า Japan rail pass ที่แม้แต่คนญี่ปุ่นยังต้องอิจฉา ซึ่งอาจจะทำให้เราประหยัดได้หากเราจำกัดโซนการเดินทาง ขอแปะลิงค์ของ h.i.s เค้าทำไว้ดีแล้วเข้าไปอ่านกันได้จ้า https://www.hisbkk.com/th/japan_rail_pass.php


ภาพจาก http://www.mytripolog.com/2012/08/big-size-detailed-japan-map-and-flag/

ซึ่งการเลือกโซนเที่ยวนั้นจะมีผลต่องบประมาณในการเที่ยวตรงค่าตั๋วเครื่องบินและค่าโรงแรมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าที่โตเกียวจะแพงที่สุด เมืองอื่นๆก็จะถูกลงตามความนิยม ซึ่งเมืองที่คนไทย(ทัวร์)นิยมไปก็จะมี ฮอกไกโด โตเกียว (เมืองหลวง) นาโกย่าโอซาก้า เกียวโต โกเบ ฮิโรชิมะ ฟุกุโอกะ และ นากาซากิ

พอเราตกลงใจได้แล้วว่าจะไปกี่คนไปกี่วันไปเมืองไหนก็มาลุยกันโลด!

ขอยกตัวอย่างทริปคร่าวๆดังนี้
ไป 2 คน 6 วัน 5 คืน
เมืองที่ไป โตเกียวและบริเวณโดยรอบ
** หมายเหตุ นี่เป็นทริปที่พักสบายปานกลาง เน้นเดินทางเร็วไม่ต้องต่อเครื่อง และเน้นที่เที่ยวหลักๆ ช้อปปิ้งพอประมาณ มีแช่ออนเซ็นแบบไม่ต้องค้าง หากไม่ต้องพักสบายและต่อเครื่องนานๆได้ ราคาจะถูกลงกว่านี้มาก**

ตางรางคร่าวๆ
เดินทางวันที่ 1 พค. 2014- 6 พค. 2014
วันที่ 1 พค. ออกเดินทางจาก Bangkok 6.30AM ถึง Narita 14.15PM  --> เข้าโรงแรม (Ikebukuro) --> Asakusa  --> Tokyo Sky Tree
วันที่ 2 พค. Tokyo Disneyland
วันที่ 3 พค. Oedo Onsen --> Odaiba  
วันที่ 4 พค. Kamakura --> Yokohama
วันที่ 5 พค. Hakone
วันที่ 6 พค. Hotel Checkout --> Shopping  --> ออกเดินทางไป Airport 15.00 PM --> เครื่องออกจาก Narita 18.50PM ถึง Bangkok 11.25PM

ค่าตั๋วเครื่องบิน Delta Airlines 19,920 บาท (จองล่วงหน้า 2 เดือน)
ค่าที่พัก 5 คืน  4,700 บาท  ต่อคน พักในเครือของ Toyoko Inn ซึ่งมีหลายเมืองให้เลือกมากๆเป็นที่นิยมของคนไทย ที่เลือก Ikebukuro เพราะชอบเมืองนี้มีทุกอย่างห้างเรียงติดๆกัน เดินง่ายเดินได้ทั้งวัน พักที่นี่แล้วไม่จำเป็นต้องไปชินจูกุก็ได้ เพราะของจริงๆมันคือๆกันหมด ที่สำคัญสายรถไฟ Narita Express จากสนามบินมีจอดถึง ไม่ต้องเปลี่ยนรถไฟแบกกระเป๋าให้วุ่นวาย สถานีก็เข้าใจง่ายกว่าชินจูกุและโตเกียวมาก)
ค่าเดินทาง
Narita Express Package 5,500 Yen (ไปกลับและยังมีบัตรรถไฟ suica ให้ด้วยอีก 1,500 Yen ใช้สำหรับเที่ยววันแรกได้)
- Tokyo Disneyland 1,260 Yen (ไปกลับ)
- Oedo Onsen/Odaiba 1,500 Yen (ไปกลับ)
- Kamakura/Yokohama 1,640 Yen (ไปกลับ)
- Hakone 5,000 Yen (ไปกลับ)
รวม 14,900 Yen (ราว 4,470 บาท)
**ราคานี้เป็นเพียงแค่คร่าวๆเท่านั้นนะคะแต่จะไม่หนีไปมากกว่าที่เขียนไว้
ค่าเข้าชมสถานที่ต่างๆ
- Tokyo Sky Tree 2,000 Yen
- Tokyo Disneyland 6,200 Yen
- Odeo Onsen 1,980 Yen
รวม 10,180 Yen (ราว 3,054 บาท)

สรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริป (ไม่รวมช้อปปิ้งกับค่าอาหารกลางวันและเย็น)
32,144 บาท ถ้าตีค่ากินวันละสองมื้อ (มื้อเช้าที่โรงแรม) มื้อละพันเยน ที่ต้องจ่ายประมาณ 10 มื้อ = 20,000 Yen (ราว 6,000 บาท) ถ้าเราจองล่วงหน้ากว่านี้หรือไปช่วง low season ราคาจะยิ่งถูกลงไปอีก

รอบหน้าจะมาต่อเรื่องการจองตั๋วและที่พักแบบละเอียดกว่านี้ค่ะ ^____^

อ่านเรื่องอื่นๆ

Wednesday 12 February 2014

ไปญี่ปุ่นจะเที่ยวเองหรือไปกับทัวร์ดีนะ

มีคนเคยถามหลายคนว่าไปญี่ปุ่นครั้งแรกจะไปเองหรือไปกับทัวร์ดี สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจะไปแบบไหน ขอให้ตอบคำถามด้านล่างนี้ว่าทำได้มั้ย หากทำไม่ได้หรือมีความรู้สึกไม่อยากทำ เลือกไปทัวร์จะสบายกว่า เพราะมีไกด์คอยช่วยเหลือ แล้วเค้าก็จัดโปรแกรมให้เสร็จสรรพไม่ต้องมาคิดที่เที่ยวเอง

1. เดินไกลๆไม่มีปัญหา
ข้อนี้สำคัญสุดในการเที่ยวเอง ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่าแท็กซี่แพงมากแค่ขึ้นไปนั่งก็สองร้อยกว่าบาทแล้ว แม้กระทั่งรถไฟและรถเมล์ก็ไม่ได้ถูกมากนัก หากเป็นคนที่มีปัญหาเรื่องการเดิน ไปทัวร์โลด เพราะทัวร์เค้ามีรถบัสจอดถึงที่ บางคนอยากพาพ่อแม่ไปเที่ยวเอง ต้องคำนึงถึงตรงนี้ด้วยว่าผู้สว.(สูงวัย)จะเดินไหวรึเปล่า

2. ชอบวางแผนการเที่ยวเอง
ข้อนี้ก็สำคัญรองลงมา เพราะจะเที่ยวเองหมายความว่าต้องจองโรงแรม ตั๋วเครื่องบิน และศึกษาเส้นทางการขึ้นรถไฟรถเมล์เองทุกอย่าง หรือมีสมาชิกที่จะไปด้วยทำได้ หากเป็นคนไม่ชอบวุ่นวายก็ไปทัวร์โลด

3. พักในโรงแรมที่แคบๆได้ 
ย้ำว่าแคบมากๆ โดยเฉพาะการพักแบบ hostel หรือ guest house แม้กระทั่ง business hotel ก็แคบ แคบขนาดที่กระเป๋าเดินทางใหญ่ๆไม่สามารถกางออกบนพื้นได้ ต้องมาวางบนเตียงแทน บางห้องแค่พอหมุนตัวได้เท่านั้น (แต่ปัญหานี้จะหมดไปหากคุณมีงบมากพอที่จะพักโรงแรมดีๆ)

4. ไม่หวั่นที่จะลองถามทางแม้จะพูดญี่ปุ่นไม่ได้
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าพูดอังกฤษไม่รู้เรื่อง ถึงแม้เดี๋ยวนี้จะดีขึ้นมากแล้ว แต่ในตจว.อย่าไปตั้งความหวัง
มากนัก หากพูดญี่ปุ่นไม่ได้อาจจะลำบาก แต่หากเป็นคนที่ไม่หวั่นเรื่องนี้ ก็ไม่มีปัญหาเพราะถ้าเรา
เตรียมการเดินทางไปดีๆ จะช่วยได้มาก

5. ทานอาหารญี่ปุ่น(แท้ๆ)ได้
การไปเที่ยวเองนั้นเราก็ต้องมีการเสี่ยงดวงเรื่องร้านอาหารว่ามันจะอร่อยหรือไม่ บางคนอาจไม่ชอบ       ทานอาหารรสชาติญี่ปุ่นจริงๆ(ซึ่งรสชาติไม่เหมือนที่ขายในร้านฟูจินะจ๊ะ) บางทีเราเดินทางเหนื่อย ไม่อยากไปค้นหาร้าน หรือเราไปตจว.ที่มันเลือกมากไม่ได้ หรือหาร้านจากเน็ทมาแล้วแต่เดินวนหาไม่เจอสักที หรือร้านที่จะกินคนต่อแถวยาวมากกกกกกกก รอไม่ไหว เราก็ต้องมีเสี่ยงกันบางเป็นบางมื้อ กินง่ายอยู่ง่ายก็ไปเองโลด เพราะไปทัวร์บางทีเค้ามีเตรียมพริกน้ำปลาให้ (แต่ว่าเที่ยวเองก็ใช่ว่าจะเอาไปด้วยไม่ได้อะนะ แต่มันดูลำบากไปมั้ยที่ต้องมาพกอะไรแบบนี้ ทั้งๆที่ไปเที่ยวตปท.ทั้งที) แล้วร้านที่ทัวร์พาไปมักจะถูกปากคนไทยอยู่แล้ว

6.ชอบเรียนรู้วัฒนธรรมต่างชาติ
การไปเที่ยวเองนั้นบางทีเราอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องดำเนินชีวิตแบบคนญี่ปุ่น เช่นการทานบะหมี่ หรือที่เรียกกันว่าราเม็ง คนญี่ปุ่นจะซูดเส้นเสียงดัง ซึ่งถือว่าเป็นมารยาทของเค้า เพราะยิ่งดังแสดงว่ายิ่งอร่อย ถ้าเราไปทานในร้านก็ควรทำตามเพราะถือว่าให้เกียรติเจ้าของร้าน หรือ การทานซูชิ ซึ่งคนญี่ปุ่นจะไม่คนวาซาบิกับโชยุโดยตรง การแช่ในบ่อน้ำร้อนหรือที่เรียกว่าออนเซ็น ก็จะห้ามเอาผ้าเช็ดตัวเข้าไปบริเวณที่แช่ ต้องถอดเสื้อผ้าหมดเท่านั้น การทานข้าวในร้านอาหารจะไม่มีการเรียกบริกรมาเก็บตังค์ เราต้องเอาบิลไปจ่ายที่แคชเชียร์เอง เป็นต้น การไปเที่ยวเองเราก็จะได้เรียนรู้สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความสนุกอย่างนึง

ไว้ตอนหน้าจะมาเขียนถึงงบประมาณในการเที่ยวต่อจ้า^^

อ่านเรื่องอื่นๆ
งบประมาณในการเที่ยวญี่ปุ่น
จองตั๋วเครื่องบินและโรงแรม
มารยาทในการเที่ยวประเทศญี่ปุ่น

Sunday 26 January 2014

รับงานล่ามเฉพาะกิจ

ขอเล่าประสบการณ์อันน้อยนิดในการเป็นล่าม ย้ำว่าน้อยนิดเพราะเคยรับงาน(แบบได้ตังค์)แค่ครั้งเดียว
ก่อนหน้านี้เจอใครถามโยนให้เพื่อนหมด งานนี้ก็เกือบจะได้โยนให้คนอื่นละ แต่ติดที่เป็นงานที่คนญี่ปุ่นที่รู้จักขอร้องมาโดยตรง(ประมาณไม่ทำคงไม่ได้) ก็เลยเอาว่ะ ลองดูสักครั้งนึงจะเป็นไร ก็เลยมีประสบการณ์กะเค้าสักที

แล้วตกลงมันยากมั้ยงานล่ามเนี่ย? ....ยากโพดๆฮ่ะ55555 ที่ว่าภาษาญี่ปุ่นแน่ๆแต่ไม่มีประสบการณ์ต้องแอบมีเงิบกันไปบ้างแหละว้า เดี๋ยวเล่าเนื้องานก่อนคือ งานล่าม 8 วันติด เป็นงานแข่งกีฬายิงธนูชิงแชมป์โลกของนักกีฬาคนพิการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ มีนักกีฬาญี่ปุ่นเข้าร่วม 10 คน สต๊าฟ 4 คน รวม 14คน งานของเราคือแปลการประชุม(ใช้ภาษาอังกฤษ) ดูแลนักกีฬาผู้หญิงเวลามีตรวจร่างกาย ตรวจอุปกรณ์ เพราะทางญี่ปุ่นไม่มีสต๊าฟที่เป็นผู้หญิงมาด้วยเลย  และช่วยเหลือเรื่องการแข่งขัน เช่นการเดินเก็บลูกธนูและจดคะแนนให้นักกีฬา เพราะนักกีฬาคนพิการจะใช้เวลามากเกินหากต้องทำเองทั้งหมด ซึ่งจะทำตรงนี้ได้ต้องพูดภาษาอังกฤษและญี่ปุ่นได้ รวมถึงรู้กฎกติกาของกีฬาด้วย ฟังดูอาจจะยาก แต่พอดีเราเล่นกีฬานี้อยู่แล้วจึงไม่มีปัญหาใดๆ

ความรู้สึกที่ได้ทำงานล่ามคือ สนุก! แต่พอดีมันเป็นเรื่องที่เราเข้าใจและรู้รายละเอียดอยู่แล้วมันจึงสนุก ถ้าให้ไปแปลชิ้นส่วนประกอบอะไรสักอย่างของรถยนต์ก็คงไม่สนุก และ เครียด เห็นใครๆเค้าก็อยากเป็นกันจังล่ามเนี่ย เราไม่เคยคิดอยากเป็นเลย เงินดีจริงไม่เถียง แต่ถ้าเค้าจ่ายเต็มที่ก็หมายความว่าต้องแปลให้เค้าเต็มที่ เค้ามีสิทธิ์ใช้เราได้เต็มที่ แบบนี้ไม่เอา ขอบ๊ายบายเลย เพราะภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในการเป็นล่ามไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นที่พูดกันตามท้องถนน โดยเฉพาะภาษาธุรกิจ ซึ่งจะแตกต่างจากที่ใช้ๆกันอยู่มากมาย แต่ถ้าหากใครชอบก็แนะนำให้ทำนะ เพราะเงินถึงจริงๆ ยิ่งทำมากจะยิ่งมีประสบการณ์มาก จะทำให้เราไม่ลำบากเวลาแปลมากนัก นับเป็นอาชีพที่ทำเงินได้มากสุดของการเรียนภาษาญี่ปุ่นเลยละมั้ง
มีรุ่นพี่ที่รู้จักที่รับงานล่ามแบบไม่ว่าเนื้องานแบบไหนได้หมด ค่าตัววันละ 7,000 บาทขึ้น ฟังแล้วหูยยย รวยเลยอะ แต่ความน่ากลัวคือถ้าได้เยอะขนาดนั้นนี่ต้องแปลระดับเทพ จะมาหมูหมากาไก่ แถๆแบบดิชั้นคงไม่ได้ละนะ

สิ่งที่ควรเตรียมก่อนจะรับงานล่าม

เตรียมร่างกายให้พร้อม 
เพราะมันเหนื่อยมากถึงมากที่สุด ยิ่งนานวันยิ่งเหนื่อย เป็นล่ามต้องอึดและถึก ต้องพร้อมเสมอ แม้ว่างานอาจจะไม่ได้มีตลอดเวลาแต่เราต้องนั่ง stand by ไว้เผื่อเค้าเรียกใช้ ตอนที่ทำงานวันหลังๆรู้สึกล้ามากๆเพราะต้องแปลเยอะทั้งไทยเป็นญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเป็นไทย ญี่ปุ่นเป็นอังกฤษ อังกฤษเป็นไทย โอ้ย มึนค่ะ มีแอบพูดผิดภาษาด้วย แบบพูดอังกฤษใส่คนญี่ปุ่นเฉยเลย555  บางทีดูเหมือนไม่ค่อยได้ทำอะไรแต่สมองต้องคิดตลอดเวลามันจะล้ามาก เพราะฉะนั้นต้องหลับให้เพียงพอ

เตรียมจดคำศัพท์
หาสมุดจดเล็กๆที่พกใส่กระเป๋าได้ จดคำศัพท์เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องพบเจอในงานล่ามเท่าที่จะคิดได้ลงไปให้เยอะที่สุด คราวนี้เราพลาดเรื่องคำศัพท์เรื่องการบาดเจ็บ ไม่ได้คิดถึงตรงนี้เลย ทำให้ลำบากเวลาแปลจริงๆมาก ถึงเวลาจริงๆมันไม่ใช่จะบอกให้เค้ารอแป๊ปนึงขอกดดิกก่อนนะคะ มันก็ไม่ได้ใช่ปะ ก็ใช้วิชามารแถแบบคำง่ายๆ เรียกว่าเอาตัวรอดเฉพาะกิจกันไป

เตรียมใจ
มันทำใจลำบากจริงๆที่ต้องที่ต้องมาลุ้นว่าจะได้เจอคนญี่ปุ่นแบบไหน ถ้าไม่เจอแบบจิกใช้ก็ดีไป จึงต้องเตรียมใจว่าอาจจะต้องเจอญี่ปุ่นแบบ "ใช้แหลก" โดนเฉพาะพวกลุงๆ แต่คราวนี้เราโชคดีเจอแต่คนดีๆไม่จิกใช้มีมารยาท เลยได้ทำงานแบบแฮปปี้กันไป

ฝึกจำชื่อ
ไม่รู้เป็นอะไรเวลาคนญี่ปุ่นแนะนำตัวทีไรจับชื่อไม่เคยทัน(อันนี้ส่วนตัวไม่รู้คนอื่นเป็นมั่งมั้ย) ทีนี้มารับงานก็ต้องเรียกชื่อให้ถูก แถมต้องจำนามสกุล เพราะจะไปเรียกชื่อต้นเค้าก็ไม่ได้ โดยเฉพาะเวลาเค้าแนะนำทีเดียว 10 คน ตายๆๆๆ อิชั้นก็ต้องจดๆๆๆลูกเดียว และพยายามเรียกให้ถูกในวันแรกให้ได้ เทคนิคส่วนตัวก็คือ พยายามจำเป็นคำศัพท์เพราะชื่อนามสกุลคนญี่ปุ่นจะแยกออกมาเป็นคำๆได้เช่น ชื่อ นากายามะ "นากะ" แปลว่า ข้างใน "ยามะ" แปว่า ภูเขา เราก็จำว่าภูเขาข้างใน หรือ โอคาวาระ ก็จะแปลว่า ทุ่งที่อยู่ตรงแม่น้ำ ก็จำว่าทุ่งน้ำ (เหมือนแปลเป็นไทยแล้วรู้สึกจำง่ายหน่อย)

พกความมั่นใจ
จะเป็นล่ามต้องมีความมั่นใจมาก่อน หากเราทำหน้าไม่มั่นใจตอนแปลจะทำให้ความน่าเชื่่อถือลดลง และเค้าจะเริ่มไม่แน่ใจในตัวคนแปล โดยเฉพาะทำงานกับญี่ปุ่น ทั้งเวลาทุกอย่างต้องเป๊ะ จะมาบอกว่าไม่ได้ ไม่มี ไม่ทัน เค้าอาจจะไม่ยอมขึ้นมาได้ หนทางการเป็นล่ามไม่ได้ยากเกินไป ถ้าใครอยากเป็นล่ามก่อนอื่นก็มาเรียนภาษาญี่ปุ่นกันให้เก่งๆกันนะจ๊ะ^^





  


อ่านเรื่องอื่นๆ