Thursday 31 July 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย

เอาล่ะ! เมื่อนั่งพิจารณาดูข้อมูลทางอินเตอร์เน็ทที่ดูแล้วดูอีกดูมันทุกวัน (ข้อมูลก็เดิมๆน่ะแหละ) เข้าไปกดดูเว็ปไซต์ของโรงเรียนเพื่อความชัวร์ว่าใช่ตามที่อยากไปเรียนอีกต่างหาก เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่านยังออกไม่มากคันจิจะแยะไปไหน ก็อาศัยดูรูปกับแผนที่ไปก่อนเพิ่มความมั่นใจว่าตัดสินใจไม่พลาด พอมั่นใจแล้วว่าเอาที่นี่แหละ ก็มีสิ่งที่ต้องคิดเพิ่มก็คือ

1. จะไปเรียนกี่ปี
อันนี้ตัวหลักค่าใช่จ่ายเลยเชียว ยิ่งนานยิ่งแพง จะเรียนกี่ปีดี? อืม...พิจารณาจากความสามารถภาษาญี่ปุ่นตัวเองที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยมแบบตะกุกตะกักสัปดาห์ละครั้ง แล้วก็มั่วไปเรียนที่มหาลัยเป็นวิชาโทเพิ่มแบบพอได้ แต่ขอบอกว่าไวยกรณ์เน่าเฟ๊ะ แต่เรื่องพูดกะฟังนี่พอถูไถเลย เพราะมีเพื่อนญี่ปุ่นเยอะและประกอบกับติ่งดารา (แหม๊ได้ใช้คำถูกสมัย) จะได้ไปทางภาษา(มั่ว)พูดซะเยอะ ก็เลยคิดว่า อืมมมม ถ้าสัก 3 เดือน...เอิ่ม..ยังไม่ได้อะไรมั้ง คงแค่ซึบซับบรรยากาศ งั้น 6 เดือน ก็น่าจะโอ แต่เหมือนมันน้อยๆไงไม่รู้ เวลามีคนถามว่าเรียนที่ญี่ปุ่นนานแค่ไหน ตอบเป็นปีดูดีกว่าแยะ งั้นตกลงไป 1 ปี โอเค! 555 บางคนอาจจะคิดว่าอีนี่มันบ้าเปล่าเนี่ย เชื่อถือได้มั้ย เอาจริงๆ คิดแบบนี้จริงๆนะ 555 แต่โดยหลักการ(ที่ใครบอกไม่รู้) เรียนภาษาที่เมืองนอกควรจะมีขั้นต่ำสัก 1 ปี และจากประสบการณ์ตรงของตัวเองที่เคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและเคยเรียนที่ต่างประเทศ 7 ปี ก่อนตัดสินใจไปเรียนที่ญี่ปุ่น คิดว่าอย่างน้อยต้องมี 1 ปีเหมือนกัน แล้วก็จะได้อยู่ครบทุกฤดูอีกด้วย เหตุผลแบบนี้พอดูโอเคมั้ยคะ ^___^ ต่ออีกนิด บางคนอาจจะคิดว่างั้น 2 ปีไปเลยน่าจะดี จะได้ฝึกเต็มที่ อุแหม่ โคตรจะอยากอยู่นานๆเลยล่ะ แต่ติดตรง "โอคาเนะ" (เงิน)นี่สิ จบข่าว แต่เอาจริงๆพอไปถึงก็ตัดสินใจต่อเป็นปีครึ่ง ไว้ตอนต่อไปมาเล่าอีกทีว่าทำไม :)

2. จะพักที่ไหน
ค่าที่พักที่ญี่ปุ่นถือว่าโหดแสนโหด โดยเฉพาะโตเกียว ค่าเรียนจริงๆยังนับว่าไม่แพงมาก โรงเรียนเอกชนหรืออินเตอร์บ้านเราบางที่ยังแพงกว่าเลย มันจะรอดไม่รอดก็ค่าที่พักนี่แหละ ขอท้าวความนิสนึง จริงๆแล้วมีเพื่อนเป็นคนญี่ปุ่นก็กะว่าจะไปขออาศัยเค้าอยู่ เพราะบ้านเค้ารับนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว แล้วก็สนิทกันมานาน บังเอิ๊ญค่า อีตอนเราจะไปพี่สาวเพื่อนจะกลับมาอยู่บ้านพอดี ห้องที่ว่างก็เลยไม่ว่างซะแล้ววววว ความฝันแตกสลายที่จะได้ที่อยู่ฟรี ธ่อ...T^T ถ้าไปเที่ยวไปค้างได้ แต่คราวนี้จะอยู่เป็นปีคงไม่สะดวก จะไปรบกวนเค้าเกินไปด้วย ก็เลยต้องตัดใจลองอยู่หอพักของโรงเรียนไปก่อน คือจริงๆไม่ชอบแชร์ห้องกับใครเลย แบบต้องนอนห้องเดียวกัน แล้วโชคดีม๊าก (นับเป็นความโชคดีในความโชคร้ายสินะ) หอที่เลือกจริงๆต้องนอน 2 คน แต่นักเรียนยังไม่มากทางโรงเรียนเลยให้นอนคนเดียวได้ แถมห้องอยู่ตรงข้ามโรงเรียนเลยจ้า  เย้!!!! โล่งไปหนึ่งเรื่อง

จากนั้นก็ไปจัดแจงขอราคาค่างวด เอ้ย ค่าเล่าเรียนกับค่ากินอยู่จากทางเอเจนท์แบบละเอียดว่าจะต้องใช้เงินเท่าไหร่ ต้องจ่ายเมื่อไหร่ แบ่งจ่ายได้มั้ย ขอแปะลิงค์ของทางเจเอ็ดดูเคชั่นไว้ประกอบเพิ่มซึ่งเค้าได้แจกแจงรายละเอียดไว้อย่างดีเชียว http://www.jeducation.com/THAI/academic/longterm_expense.html

ส่วนของทางโรงเรียนที่เราเลือกไปมีค่าใช่จ่ายดังนี้
โรงเรียน Toyo Language School (หน่วยเงินเยน)
ค่าสมัคร  20,000
ค่าแรกเข้า  100,000
ค่าเล่าเรียน 1 ปี  540,000
อื่นๆ เช่นตำรา กิจกรรม  84,000
รวม  744,000 ( x 0.33 = 245,520 บาท)

ส่วนของค่าที่พัก (หน่วยเงินเยน)
เดือนละ  48,000 x 3 = 144,000
ค่าน้ำไฟแก๊ซ  7,500 x  3 = 22,500
ค่ามัดจำ  30,000
รวม ( 3 เดือน รวมมัดจำ)  196,500 ( x 0.33 = 64,845 บาท)                      
**หากคิดเป็นต่อเดือนจะอยู่ที่  55,500 ( x 0.33 = 18,315 บาท) 
ค่าที่พักและค่าน้ำไฟแก๊ซ จะต้องจ่ายล่วงหน้า 3 เดือนจ้า พวกค่าน้ำไฟแก๊ซใช้ไม่ถึงจะโอนไปใช้เดือนถัดไปได้นะ รวมค่าอินเตอร์เน็ทในหอแล้วด้วยอีกต่างหาก^^ ราคานี้อ้างอิงจากปัจจุบันเลยเพราะจำราคาตอนที่ไปไม่ได้ขอสารภาพจ้า เนื่องจากมันนานมากๆๆๆๆ =='

สรุปที่ต้องจ่ายก่อนไปคือประมาณ 310,365 บาท (ขึ้นอยู่กับเรท ณ วันที่จ่าย) 
จำนวนเงินนี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับและค่าใช้จ่ายส่วนตัว

ทีนี้มาถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆต่อเดือนคร่าวๆนอกเหนือจากที่กล่าวมา (หน่วยเงินเยน)
ค่าอาหารต่อวัน
   เช้า 200 (ทานพวกโยเกิร์ตกับขนมปัง)
   กลางวัน 600 (ทานข้าวกล่อง)
   เย็น 800 (ทานร้านอาหารบ้างทำกินเองบ้าง)
   รวม 1,600
   ต่อเดือนประมาณ 48,000
ค่าโทรศัพท์รายเดือน  4,000
ค่าประกันสุขภาพรายเดือน  2,000 (ขึ้นอยู่กับเขตที่อาศัยอยู่)
ค่าอินเตอร์เน็ท  รวมอยู่ในค่าหอและใช้ที่โรงเรียนได้
ค่าเดินทาง  ไม่มีเพราะหออยู่ตรงข้าม หึๆๆ (หัวเราะอย่างผู้มีชัยชนะ)
รวม  54,000 ( x 0.33 = 17,820 บาท)
หากทำกับข้าวทานเองจะถูกลงกว่านี้มาก ตรงนี้แต่ละคนไม่เท่ากัน เอาเป็นว่าที่เขียนไว้อยู่ได้แบบไม่อดอยากละกันนะ V^__^V

สิ่งที่จำเป็นต้องซื้อเมื่อถึงประเทศญี่ปุ่น (หน่วยเงินเยน)
ผ้านวม,ปลอกหมอน,ผ้าคลุมฟูก  5,000 (ราคาคร่าวๆนะจ้า)
โทรศัพท์มือถือ  0 (เลือกมือถือที่มีโปรฟรีค่าเครื่องจ้า)
อุปกรณ์ทำครัว (หากคิดจะทำ)  1,000 (ร้าน 100 เยน ได้สิบอย่างเลย)
รวม  6,000 ( x 0.33 = 1,980 บาท)
สำหรับผ้านวม,ปลอกหมอน,ผ้าคลุมฟูกใครจะเอาไปจากไทยก็ได้ แต่เราว่าของญี่ปุ่นดีกว่ามากมาย ตอนกลับยังเอากลับมาใช้ที่ไทยด้วย^^ หากใครเอาไปก็จะประหยัดไปได้อีกหน่อย ระวังนิดนึงตรงผ้าคลุมฟูก ที่ใช้คำว่าฟูกเพราะที่โน่นอาจไม่ใช้เตียง เอาไปไซส์อาจจะไม่พอดี ตอนที่ไปทางโรงเรียนจัดฟูกให้ (ของใหม่เลย) อยากเอากลับมาด้วยอีกแล้ว แต่มันหนักเกินเลยอดเลย

สรุปอีกทีแบบจ่ายก่อนไปและอยู่ได้อีก 3 เดือน
ค่าใช้จ่ายก่อนไป  310,365 บาท (รวมค่าเรียน 1 ปีและค่าที่พัก 3 เดือนแรก)
ค่าใช้จ่ายอื่นๆต่อเดือน  17,820 x 3 เดือน = 53,460 บาท
สิ่งที่จำเป็นต้องซื้อ  1,980 บาท
รวม  365,805 บาท
ราคานี้ยังไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินและค่าวีซ่านะจ๊ะ และให้บวกค่าใช้จ่ายส่วนตัวไปด้วยตามแต่ต้องการจะใช้เผื่ออยากช้อปปิ้ง555 ห้ามใจยากด้วยประเทศนี้ ออกจากบ้านปุ๊ปโอกาสควักเงินสูงมาก

สำหรับเดือนที่ 4 เป็นต้นไปค่าใช้จ่ายรายเดือนจะอยู่ที่ 36,135 บาท
และอาจจะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆหากเราต้องการร่วมกิจกรรม Homestay ต่างจังหวัด จะต้องจ่ายเพิ่มเอง และแน่นอนว่าไปญี่ปุ่นก็ต้องอยากเที่ยว ก็ควรเผื่อเงินไว้สำหรับตรงนั้นด้วย แต่เอาจริงๆตอนที่ไปเรียนแทบไม่ได้เที่ยวไกลๆเลยนอกจากไปกับโรงเรียนเพราะค่าเดินทางแพงมากๆ เป็นนักเรียนไม่สามารถซื้อ japan rail pass ได้เหมือนนักท่องเที่ยว จะเที่ยวทีไม่มีปัญญาเลยตอนนั้น

ท้ายสุดๆ
เอาง่ายๆสุดๆถ้าขี้เกียจคิดคือควรมีอย่างน้อย 400,000 บาท หากคิดจะไปเรียนที่่ญี่ปุ่นและอยู่รอดได้ 3 เดือนแรกแบบไม่ลำบาก ตอนที่เราไปนอกจากเตรียมเงินก่อนไปแล้วยังเผื่อไว้อีก 150,000 บาทเผื่อค่าที่พักได้อีก 3-4 เดือน นอกนั้นกะจะทำงานพิเศษเพื่อมาช่วยค่าใช้จ่ายรายเดือนที่เหลือจะได้ไม่ต้องรบกวนที่บ้านมากนัก

ขอเพิ่มเติมนิดนึงหากใครสนใจที่จะไปเรียนโรงเรียนโตโยเหมือนกัน ตอนนี้ทางโรงเรียนได้ย้ายไปตึกใหม่ซึ่งหอที่เราได้พูดถึงก็อาจจะไม่มีแล้ว แต่ยังไงก็ยังคงคอนเซ็ปคือไม่ต้องเสียค่าเดินทางนะ ที่พักหากอยู่ในเมืองเดียวกันปั่นจักรยานไปสบายมากๆ สำหรับข้อมูลอัฟเดทลองติดต่อทาง Jeducation ดูได้จ้า

ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านกัน ติชมกันได้นะ^^ ตอนต่อไปจะมาเล่าถึงการเรียนที่ญี่ปุ่นและการหาเลี้ยงชีพเพื่อความอยู่รอดในประเทศญี่ปุ่นสำหรับอีก 9 เดือน หรือบางทีอาจจะเป็น 1 ปี 3 เดือน! เอ๊ะยังไง ^____^


Friday 25 July 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน หาโรงเรียน

ปกติแล้วคนมักให้ความสนใจว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นจะขอทุนยังไงเพราะประเทศนี้เค้าแจกทุกฟรีเป็นว่าเล่น น่าจะรู้จักกันคือทุนมงบุโช (Monbukagakusho หรือย่อว่า MEXT) ชื่อไทยก็คือทุนรัฐบาลญี่ปุ่นนั่นเอง ถือว่าเป็นการให้ทุนเรียนกันฟรีๆ ได้เงินต่อเดือนฟรีๆที่ใช้กินอยู่ได้อย่างสบายๆ บางคนเหลือเก็บอีกต่างหาก อื้อหือ...อะไรมันจะดีขนาดน้าน อยากได้กะเค้ามั่ง แต่มันต้องฟันฝ่าหลายอย่างเหลือเกิน ด่านแรกคือเกรด...จบกัน...น่าจะตั้งใจเรียนให้มากกว่านี้ T^T แต่เดี๋ยวก่อน เกรดน้อยแต่ถ้ามีสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นมาช่วยก็พอได้ โอเคพอคุยกันได้ แต่ด่านสองคือการกรอกเอกสารอันยาวเหยียด เขียน Study Plan อีก ก็นั่นสิเขาให้ฟรีๆจะมาง่ายๆได้ยังไง โอเค ง่ายๆคือเราขี้เกียจ ก็แค่อยากจะไปเรียนที่ญี่ปุ่นตามความฝันว่า อยากเล่นเกมรู้เรื่อง ฟังดาราโปรดพูดเข้าใจ ไปเที่ยวพูดได้สบายๆ ไปเองก็ได้ฟะ ไม่ง้อหรอกทุนเทิน เชอะ! เป็นเหตุให้เริ่มหาข้อมูลเรียนต่อภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว ซึ่งสมัยนั้นที่แนะแนวเรียนต่อประเทศญีปุ่่นยังน้อยมากๆ (สมัยปี 2005) พอดีมีเพื่อนทำงานที่ Jeducation เลยลองติดต่อหาข้อมูลไปดู ก็มีโรงเรียนให้เลือกอยู่พอสมควร แถมเค้าดำเนินการให้หมด เตรียมเอกสารและจ่ายตังค์อย่างเดียว55 เลยตกลงใจใช้บริการที่นี่ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลย (ขอบคุณพี่จูนมานะที่นี้นะคะ^^) หลังจากนั้นก็มานั่งเลือกว่าจะเรียนที่ไหนดี ซึ่งคนที่ไม่รู้เลยอะไรเลยอาจจะเลือกไม่ถูก ขอให้ตั้งเกณฑ์ของตัวเองก่อนเลือกโรงเรียนว่าเราต้องการแบบไหน บางคนอาจจะต้องดูที่ค่าเรียนอันดับแรก บางคนขออยู่ในเมือง บลาๆๆ ซึ่งของตัวเองก็ได้คิดไว้ค่อนข้างเยอะทีเดียว เอามาเล่าสู่กันฟังจ้า

เกณฑ์การเลือกโรงเรียนที่ตั้งไว้

1. ที่พักกับโรงเรียนต้องเดินหรือปั่นจักรยานได้
    ไม่อยากจะเสียเงินค่ารถไฟเพิ่มอีก เนื่องจากไปเงินตัวเองอะไรประหยัดได้ก็ควร

2. อยู่ในโตเกียว แต่ขอชานเมือง แบบคนไม่พลุกพล่าน และเข้าเมืองได้ไม่ยาก
    คืออยากมีอารมณ์แบบวันไหนอยากเข้าไปชินจูกุ ชิบุย่าก็ไปได้ไม่ยาก ชีวิตปกติขอแบบเงียบสงบ

3. มีนักเรียนไทยไม่เยอะ
    ขืนเยอะคนมิวายคุยภาษาไทย แทนที่จะได้คุยญี่ปุ่นเยอะๆ ลองชั่งน้ำหนักดูระหว่างจำนวนนักเรียนทั้ง
    โรงเรียนกับจำนวนนักเรียนไทย ตั้งเป้าไว้ว่าขอแค่ 5 % ของทั้งหมด

4. โรงเรียนมีจัดทริปไป Homestay ต่างจังหวัด
    อยากลองไปอยู่กับครอบครัวญี่ปุ่นหลายๆแบบ ส่วนตัวมีเพื่อนคนญี่ปุ่นอยู่แล้ว และเคยไป homestay
    สมัยเรียนมหาวิทยาลัย รู้สึกว่าได้ฝึกภาษาดีมากๆ แถมได้ลองอาหารญี่ปุ่นแบบ homemade อีกด้วย

5. ต้องมีจำนวนนักเรียนเยอะพอสมควรและไม่มากจนเกินไป
    ถ้าโรงเรียนมีจำนวนนักเรียนน้อยกว่าร้อยคน การแบ่งห้องเรียนจะทำได้ไม่เต็มที่เพราะคนน้อย เช่น
    โรงเรียน ABC มีนักเรียนราว 70 คน มีห้องเรียน 5 ห้อง ดังนี้
       ห้อง 1 เริ่มต้นตั้งแต่แรก
       ห้อง 2 เริ่มต้นระดับกลาง
       ห้อง 3 ติวสอบ N2
       ห้อง 4 ติวสอบ N1
       ห้อง 5 ติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
   หากเราเรียนมินนะจบเล่มสาม ก็จะมี 2 ทางเลือกคือ ห้อง 1 หรือ ห้อง 2 หากเราเลือกเรียนห้องเริ่มต้น
   เราอาจจะเสียเวลา และหากเราเลือกที่จะเรียนห้องระดับกลาง เราก็อาจจะมึนงงได้ ตรงนี้บางคนอาจ
   จะมองข้ามไป แต่เราคิดเยอะเพราะจ่ายเงินไปเองจะให้เสียเวลาเรียนแล้วได้น้อยหรือได้ไม่เต็มที่มันก็
   จะเป็นการเสียเงินและเวลาโดยใช่เหตุ ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลนี้ควรเอามาคิดต่อเมื่อเราเรียนอยู่ในขั้นที่ไม่
   จบชั้นต้นดี หรือเรียนมานานมากๆจนไม่รู้ว่าตัวเองควรอยู่ระดับไหน ถ้าเราไม่ได้แน่ใจว่าจะอยากเริ่มชั้น
   ต้นใหม่ก็ต้องไปลุ้นว่าเค้ามีห้องที่เรียนถึงไหนกันแล้วบ้าง ก่อนไปอาจต้องสอบถามกับทางโรงเรียนดู
   ก่อนจ้า

6. ต้องมีนักเรียนจากหลากหลายชาติ
   ไปเรียนทั้งทีก็อยากได้เพื่อนหลายๆชาติเผื่อไปเที่ยวประเทศนั้นๆจะได้มีคนพาเที่ยว 
    ความคิดแอบแฝง55

ดังเหตุผลที่กล่าวมาเยอะแยะก็เลือกโรงเรียนได้ซะทีคือ โรงเรียน Toyo Language School ที่สถานี Nishi Kasai อยู่ในชานเมืองโตเกียวแต่เข้าเมืองไม่ยากเลย หอพักหญิงอยู่ตรงข้ามโรงเรียนจ้า เดิน 2 นาที นักเรียนไทยโอเคไม่มาก รอบที่ไปมี 5 คน ถือว่าเป็นประชากรส่วนน้อยสุดๆ มีทริปไป homestay ตอนที่เรียนได้ไป hokkaido มีครบคุณสมบัติที่กล่าวไว้ เลยไม่ต้องลังเลเลยเอาที่นี่แหละ^^

หากใครมีแผนไปเรียนด้วยตัวเองก็ลองพิจารณาเหตุผลของตัวเองก่อนว่าอยากให้มีอะไรบ้างแล้วค่อยมาดูว่าโรงเรียนไหนใกล้เคียงที่เราต้องการสุดจ้า เรื่องการเรียนการสอนส่วนตัวคิดว่าไม่ต่างกันมากนักหากเป็นโรงเรียนสอนภาษามักจะเข้มข้นอยู่แล้ว คราวหน้ามาต่อเรื่องการการเงินกัน^^