Wednesday 3 September 2014

เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน เริ่มเรียนแบบเงิบๆ

ขอบคุณที่ติดตามอ่านกัน 2 ตอนแรกจนมาถึงตอนที่ 3 นี้ ตอนแรกที่ตั้งงบไว้กะไปเรียนแค่ 1 ปี ก็สมัครไปตามนั้น ตอนที่ไป ไปตอนเดือนตุลาคม ซึ่งสมัยก่อน (โอ้โห ดูมันน้านนานมาแล้ว...) สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นยังมีแค่ปีละครั้ง  (สอบเดือนธันวาของทุกปี) จุดนี้ทำให้พลาดไปนิดหน่อยเพราะถ้าไปเดือนตุลาก็มีเวลาเรียนแค่ 2 เดือนก่อนสอบ ซึ่งก่อนไปทางโรงเรียนโตโยที่จะไปเรียนก็ถามมาว่าเราจะสมัครสอบไว้ก่อนเลยมั้ย เพราะมันต้องสมัครก่อนล่วงหน้า เราก็โอเคจ้า ไหนๆไปแล้วลองโลดแบบไม่คิด สอบระดับ 2 เลยจ้า (สมัยก่อนยังคงมีแค่ 4 ระดับ, ระดับ 1 คือสูงสุด) แหม่ในใจคิดว่าเฮ้ย! เรียน 2 เดือนเอาระดับสองเลย แล้วเรียนจบกลับมาก็สอบระดับ 1 พอดี ช่างเป็นความคิดที่ดูดีทีเดียวเชียว! แต่ในความเป็นจริง (ที่ไม่ได้ดูความสามารถตัวเองเล้ย) คือมันยากกกกกมากกกกกค่า ติดตามความเงิบของอิชั้นได้ดังต่อไปนี้

สอบแบ่งชั้นเรียนง่อยมาก
ไปถึงโรงเรียนวันแรกจะมีการสอบวัดระดับแบ่งชั้นเรียน แหม อายอะตอนแรกกะว่าจะได้เรียนแบบชั้นกลาง แต่สอบออกมาได้ชั้นต้นจ้า ง่อยมาก555 นี่เป็นเพราะการเรียนแบบไม่ปะติดปะต่อกันและไม่มีพื้นฐานไวยกรณ์ที่ดี ถึงแม้ว่าจะพูดพอได้แต่ภาษาพูดกับภาษาเขียนมันคนละเรื่อง และก่อนไปก็ไม่ได้เรียนเตรียมไปก่อนเลยจ้า จบมหาลัยก็ทิ้งมันไว้อย่างนั้น ซึ่งการเรียนภาษาญี่ปุ่นก็จำเป็นที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ถึงจะสื่อสารเป็นประโยคได้ดี (จริงๆก็ทุกภาษานะ) นี่คือจุดประสงค์ที่มาเรียนเลย เพราะรู้สึกว่าแต่งประโยคไม่เป็นสักที ฟังพอได้เพราะชอบดูละคร ดูรายการทีวี แต่จะพูดทีนึงจะได้เป็นคำๆไป อธิบายยาวๆไม่ถูก โอเค วกมาเรื่องสอบแบ่งห้อง อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าที่เลือกโรงเรียนนี้ เพราะมีจำนวนนร.พอสมควร ทำให้แบ่งห้องได้หลายระดับ จากที่สอบได้ชั้นต้นก็ได้ไปเรียนห้องต่ำสุด หา!?! สาบานได้ว่าเรียนภาษาญี่ปุ่นมากว่า 7 ปีก่อนจะไป และเรียนเป็นวิชาโทที่มหาลัยด้วย!!! แล้วทำไมถึงทำข้อสอบไม่ได้? ปัญหาคือเราไม่ได้ทบทวนก่อนมา เลยทำให้ทำข้อสอบไม่ได้ คันจิลืมหมดจริงๆ (เป็นตย.ที่ไม่ดีนะคะ) ไปเรียนวันแรกเริ่มมินนะเล่ม 1 OMG! คือมันก็ง่ายไปนะ TT ก็เลยไปปรึกษาหัวหน้าครูที่โรงเรียน ครูเขาเข้าใจเพราะอย่างน้อยเราก็สื่อสารกับเค้ารู้เรื่อง เราก็ถามเค้าว่าพอจะเข้าไปเรียนระดับกลางได้มั้ย เค้าบอกว่าจะไปเรียนก็ได้แต่พอดีห้องที่มีอยู่มีแต่เด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ด้วยความสามารถอันน้อยนิดของเราตอนนี้อาจจะทำให้เราไม่พัฒนา (อันนี้คิดเอาเอง) เค้าเลยเสนอว่างั้นไปเรียนอีกห้องที่เป็นชั้นต้นแต่เป็นการเริ่มเรียนแบบทวนตั้งแต่แรกแต่จะสปีดเร็วสุดๆ อืม...นี่เราห่วยขนาดสอบเข้าห้องนี้ไม่ได้เลยเหรอ(วะ) คิดในใจ...แง๊ อายอะ แล้วก็ตอบโอเคไป พอเข้าไปเรียนก็รู้สึกว่าโอเคมากๆ เพราะเราเคยเรียนไปแล้วแต่ลืมหมดแล้ว เลยได้ทบทวนอีกที มานั่งคิดทำไมตรูไม่อ่านหนังสือมาให้มากกว่านี้ฟระเนี่ยยย!!! แต่เป็นเพราะตอนนั้นคิดเองง่ายๆว่าไหนๆก็จะมาเรียนแล้วจะต้องมาเรียนก่อนอีกทำไมอะ มาสอบๆไปก็น่าจะทำได้แหละ แต่เผอิ้ญข้อสอบมันเป็นข้อเขียนมิใช่วงกลมนะจ๊ะ...แล้วตัวเองก็ไม่ได้สนใจจะถามหรือหาข้อมูลตรงนี้ก่อนว่าก่อนไปควรเตรียมตัวเรื่องเรียนอย่างไร มัวแต่ไปคิดเรื่องเงินซะเยอะ ดังนั้นคนที่กำลังคิดจะไปเรียนควรจะเรียนให้ตัวเองเข้าใจให้มากที่สุดก่อนไป อย่าเป็นแบบอิชั้นนะเจ้าคะ...T^T

เริ่มเรียนก็ช็อค
ย้อนกลับไปวันแรกที่ได้ไปลองเรียนห้องต่ำสุดที่เริ่มจากมินนะ 1 เซ็นเซ (เอาไว้เรียกคุณครูในภาษาญี่ปุ่น) ได้ขึ้นกระดานเป็นภาษาญี่ปุ่นแบบมีคันจิเต็มที่แบบที่เกิดมาเพิ่งเคยเห็น O_o และพูดกับเราประหนึ่งว่าเราฟังท่านรู้เรื่องและอ่านคันจิเข้าใจ นี่ขนาดเริ่มแนะนำตัวเองนะ OMG! อีกรอบหลังจากช็อคว่าตัวเองสอบได้ห่วย TT และในห้องจะมีประชากรจีนเยอะสุดรองลงมาเกาหลี แล้วทุกคนก็ดูเหมือนจะเข้าใจไอ้คันจิที่เซ็นเซเขียนดี เราได้แต่นั่งอึ้งทำตาปริบๆ พยายามจะอ่านแต่พยายามยังไง๊ก็ไม่ได้ ก็มันจะได้ได้ยังไงกันเล่าค่า จีนกับเกาหลีมันใช้คันจิคล้ายญี่ปุ่นมันก็เข้าใจกันสิ (จริงๆคือญี่ปุ่นไปเอาจากจีนมาใช้) ก็ได้แต่ทำหน้างงไปเผื่อเซ็นเซจะได้รู้ว่ากรูอ่านไม่ออกค่า TT 

ชีวิตคือคันจิ
ความยากลำบากของการเรียนคือมันมีสอบทุกวันเลยจ้า แถมเป็นการสอบคันจิแบบโหดมากสำหรับเด็กไทยที่ไม่รู้ที่มาว่ามันมาจากไหน คันจิตัวนึงอ่านได้หลายอย่างอีกแน่ะ ทำไมไม่ทำให้มันง่ายๆค่า ขอกรีดร้อง สิ่งที่เคยได้เรียนมามันเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรเลย อาจารย์ให้ชีทมา แล้วบอกว่าจะสอบพรุ่งนี้ กรี๊ด คันจิเต็มหน้ากระดาษให้อ่านวันเดียว TT ชีวิตประจำวันคือ เรียนครึ่งวัน อีกครึ่งวันนั่งท่องคันจิจ้า มีอยู่วันนึงจำได้ขึ้นใจอาจารย์อยู่ดีๆก็บอกว่าจะสอบคันจิแบบให้ข้อสอบมาหนึ่งแผ่น นั่งอึ้งอยู่สักพักว่าสิ่งที่เห็นในกระดาษมันจะอ่านว่าอะไร สุดท้ายก็เหลือบไปมองคนจีนที่นั่งข้างๆ มันคงเห็นเรานั่งนิ่งเลยส่งกระดาษให้เราลอก (พอดีเซ็นเซไม่อยู่คุม) ช่างใจดีจริงๆ ถึงเราลืมชื่อนายไปแล้วแต่ยังจำหน้าได้นะเพราะหล่อ อิๆๆๆ แต่ขนาดว่าคนจีนมันก็ยังทำได้ไม่หมดเลย คือมันยากมากนั่นเอง อยากจิร้องไห้กับคันจิมากๆ ทำยังไงให้จำได้ อ่านได้ คือต้องพยายามเขียนทุกวัน พอเจอบ่อยๆเข้ามันจะซึบซับเข้าไปเอง แต่ใช้เวลานานหลายเดือนมากๆ ใครที่จะไปเรียนขอแนะนำให้ทำตัวเป็นมิตรกับคันจิไว้เยอะๆแล้วชีวิตจะสบายขึ้น (มั้ง555)

คำช่วยคืออะไร
ภาษาไทยไม่มีระบบนี้ ภาษาญี่ปุ่นจะมีระบบคำช่วยหรือคำเชื่อมประโยคชี้ให้เห็นว่าคำศัพท์นั้นมีหน้าที่อะไรในประโยค ซึ่งมันค่อนข้างซับซ้อนและยากหากไม่ได้เรียนแบบถูกต้อง ยังไม่ขออธิบายมากเพราะมันจะออกทะเลไปไกล กลับมาเรื่องตัวเองก่อนนะ^^ อย่างที่บอกว่าเคยเรียนภาษาญี่ปุ่นมา 7  ปีก่อนที่จะไปเรียนที่ญี่ปุ่น แต่มันเป็นการเรียนแบบสัปดาห์ละครั้งแล้วก็เรียนๆหยุดๆ ตอนที่เรียนที่มหาลัยก็เป็นการเรียนเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ (เรียนมหาลัยที่ออสเตรเลีย) ทำให้ไม่เข้าใจหนักเข้าไปอีก เข้าตำราว่ายิ่งเรียนมานานเหมือนรู้แต่จริงๆไม่รู้หรอก ทุกครั้งที่มีสอบจะเอาตัวรอดมาได้ตลอด แต่จะตกส่วนที่ให้เติมคำช่วยประจำ คือสมัยที่เรียนตำราเรียนยังไม่น่าเรียนเหมือนตอนนี้ รูปก็ไม่มี มีแต่ตัวหนังสือ สรุปคือที่เรียนมาคือช่วยให้อ่านออกเขียนได้และรู้คำศัพท์ แต่ไวยกรณ์ก็ง่อยอีกค่ะ ขอสารภาพตรงนี้ว่าถึงแม้ว่าไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็ยังไม่ได้ช่วยให้เข้าใจกระจ่างจริงๆ แต่จะใช้ถูกบ้างเพราะอาศัยเคยชินกับรูปประโยค ใช้คำว่าถูกบ้างเพราะบางทีภาษาพูดจะไม่ใส่คำช่วยเลย แต่เวลาเขียนแบบจริงจังหรืออ่านเนื้อเรื่องเป็นสิ่งจำเป็นมากๆ แต่ปัญหานี้จะหมดไปได้ เพราะสมัยนี้การสอนพัฒนาไปมาก หนังสือแบบเรียนก็เยอะทำให้หาความรู้ได้ไม่ยากแล้ว ถ้าเราได้ลงเรียนคอร์สจริงๆจังๆที่เมืองไทยป่านนี้คงเก่งกว่านี้มากๆเลย เพราะเอาจริงๆว่ามาเข้าใจคำช่วยก็ตอนจะเป็นครูเพราะต้องสอนคนอื่นนี่แหละ 

หลังจากเงิบไปได้สักสองเดือนถึงเวลาต้องมาสอบวัดระดับที่ดันเงิบไปสมัครไว้ก่อนไป แถมระดับ 2 อีก จะเหลือเหรอคะ คือทำไม่ได้ค่าาาาาา TT ก็ได้แต่ตั้งใจเรียนต่อไป และมานั่งคิดทบทวนดูใหม่ว่ากว่าจะได้สอบอีกทีก็อีก 1 ปี ถ้าเราเรียนแค่ปีเดียวเราจะต้องกลับไปสอบที่ประเทศไทย เพราะต้องกลับประมาณ เดือนกันยายน แบบนี้ไม่น่าจะดี เพราะถ้ากลับไปกว่าจะสอบก็ต้องรออีก 3 เดือน จะลืมมั้ยล่ะเนี่ย ขนาดเรียนมา 7 ปียังไม่ช่วย เห็นทีจะต้องต่อคอร์สไปอีกสักครึ่งปีน่าจะดีกว่า ก็เลยตัดสินใจได้ว่าจะเรียนเป็นปีครึ่ง ทีนี้ก็ต้องวางแผนเรื่องเงินกับที่อยู่กันใหม่อีกสิเนี่ย...



เรียนที่ญี่ปุ่นด้วยทุนตัวเอง ตอน ค่าใช้จ่าย